ชี้ช่องโหว่กม. ขี้ฉ้อลอยนวล หนีชั้นพิพากษา


เพิ่มเพื่อน    

ปธ.องค์กรต้านคอร์รัปชันชี้บังคับใช้ กม.ยังไม่เข้มข้น ปล่อยคนโกงหนีคดีในชั้นศาล "จรัญ"  รับระบบยุติธรรมไทยช่องโหว่เยอะ เปรียบใยแมงมุมจับได้แค่แมลงตัวเล็ก แถมมีอาชญากรในเครื่องแบบ แนะ 3แนวทางแก้ปัญหา
    ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวเปิดงานเสวนาหัวข้อ "ตามหาคน (โกง) หาย" ว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแห่งประเทศไทยพยายามอย่างยิ่งในการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทย  ซึ่งหนึ่งในความสำเร็จในการป้องกันคือการเน้นเรื่องการปราบปรามการทุจริต โดยการนำคนผิดมาลงโทษเป็นตัวอย่าง พร้อมสร้างความรู้สึกแก่สังคมว่า หากทำผิดแล้วจะหลบหนีไม่ได้ แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมของเราถูกตำหนิว่ามีความล่าช้า รวมทั้งไม่มีความยุติธรรม
    อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่ระดับต้นน้ำคือตำรวจ จนถึงระดับปลายน้ำคือศาล แม้ว่าในเรื่องของการดำเนินคดีจะรวดเร็วขึ้นจากเดิมจากอดีตที่ผ่านมา แต่เมื่อดำเนินการไปถึงชั้นศาลแล้ว การบังคับใช้กฎหมายต่อคดีต่างๆ  ยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร หลายคนหลบหนีไปได้เพราะมีเงิน ขณะที่บางคนที่ติดคุกได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งต้องหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรให้กระบวนการยุติธรรมเข้มแข็งและมีความเที่ยงตรงต่อทุกคน
    จากนั้น นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, นายนิวัติ แก้วล้วน อดีตเลขาธิการสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ilaw) ได้ร่วมเสวนา "ตามหาคน (โกง) หาย"
    โดยนายจรัญกล่าวว่า โจทย์ที่เป็นปัญหาในกระบวนการยุติธรรมไทย ได้แก่ 1.ช่องโหว่ที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเยอะ จนภาควิชาการตั้งฉายานามให้ระบบงานยุติธรรมทางอาญาของไทยว่า เป็นระบบยุติธรรมแบบใยแมงมุม ซึ่งดักได้แต่แมลงตัวเล็ก แต่ถ้าเป็นแมลงตัวใหญ่ ใยแมงมุมก็ขาด จึงเป็นช่องโหว่ของกลไกที่ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่อ่อนล้าในการตามตัวผู้กระทำผิด 2.การจับผู้บริสุทธิ์มาดำเนินคดีอาญา ซึ่งคนเหล่านั้นมักเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่มีกำลังจะต่อสู้ หรือหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทำให้สังคมไม่ได้ยินเสียงผู้ที่เดือดร้อน 3.ปัญหาอาชญากรในเครื่องแบบ ที่ปัจจุบันยังคงมีบุคลากรในระบบงานยุติธรรมที่เกเร แฝงตัวอาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายก่ออาชญากรรม ซึ่งกรณีนี้ถือว่าปราบยากมาก เพราะคนเหล่านี้รู้ช่องทางในการเอาตัวรอดต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งทั้ง 3 โจทย์รวมกันเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของสังคมไทย
    ทั้งนี้ การลดความเหลื่อมล้ำระบบยุติธรรม ต้องเริ่มจาก 1.กระบวนการรับหรือไม่รับแจ้งความ ซึ่งที่ผ่านมาขึ้นอยู่กับว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับใคร หากเป็นชาวบ้านก็ดินช้า แต่หากผู้ที่มาแจ้งความเป็นคนที่มีชื่อเสียงในสังคมหรือมีองค์กรหนุนบางแห่งหนุนอยู่ กระบวนการเหล่านี้จะเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะไปเปลี่ยนที่ตัวเจ้าหน้าที่โดยทันทีนั้นยาก จึงต้องมีการเสริมศักยภาพให้ประชาชน คนจน คนอ่อนแอ หรือให้องค์กรที่ได้รับการอนุมัติและผ่านการตรวจสอบ เป็นผู้ฟ้องร้องแทนตัวผู้เสียหายได้ 2.ประเด็นการปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราว ที่ต้องมีการสังคายนากันอีกครั้ง เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นผู้ต้องหาบางรายไม่สามารถหาหลักประกันมาได้ ขณะที่บางคดีมีความรุนแรงมากกว่า แต่ผู้กระทำผิดสามารถหาหลักประกันเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวได้ เป็นต้น
    3.การแสวงหาพยานหลักฐานในระบบของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งผู้ที่เป็นจำเลยนั้น เข้าถึงการหาหลักฐานโดยเฉพาะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเป็นเรื่องยากมาก ขณะที่ฝ่ายโจทก์ที่ยื่นฟ้องมีช่องทางต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นอีกจุดที่ต้องมีการปรับแก้ โดยต้องมีการเสริมกำลังให้แก่ฝ่ายผู้ต้องหาและจำเลยมากขึ้น และต้องคำนึงเสมอว่าผู้ต้องหานั้นยังไม่ใช่อาชญากร เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ก่อน
    อย่างไรก็ตาม กระบวนการพิสูจน์ความผิดนั้นต้องมีการเปลี่ยนให้เป็นระบบตรวจสอบ ตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ศาล ในทุกระดับ และขอให้ยกเลิกระบบที่ให้คู่กรณีมาต่อสู้กันในคดีอาญา โดยเฉพาะคดีอาญาร้ายแรง ต้องทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจสอบทั้ง 2 ด้าน เพื่อค้นหาคนผิดตัวจริงให้ได้ เช่นเดียวกับอัยการ ที่มีอำนาจในการตรวจสอบ แต่ยังไม่มีเครื่องมือ ซึ่งต้องให้เครื่องมือในการตรวจสอบร่วมกับพนักงานสอบสวน ขณะที่ในชั้นศาล ต้องให้ศาลที่ต้องมีคณะทำงานที่ช่วยดำเนินการตรวจสอบ ไม่ใช่มีเพียงแค่ปากกาด้ามเดียว คอยวิ่งไล่ตามพยานหลักฐาน
     “การแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดทางการเมือง ซึ่งคือนายกรัฐมนตรี จะต้องเมตตาสังคมมากกว่าลูกน้องตัวเอง รักแผ่นดินและประเทศชาติและสังคมมากกว่าคนของตนเอง แต่ทั้งนี้เบอร์ 1 จะดีคนเดียวไม่ได้ เบอร์ 2 เบอร์ 3 จะต้องดีด้วย" นายจรัญระบุ
    นายยิ่งชีพกล่าวว่า การนำคนผิดไปลงโทษอาจเป็นปลายทางในการต่อสู้กับการทุจริต ซึ่งการติดคุกไม่ใช่การแก้ปัญหาในเชิงระบบ แต่ต้องพิจารณาถึงกระบวนการถูกจับกุมดำเนินคดี การพิจารณาคดีให้สังคมเห็นว่าวิธีการทุจริตทำอย่างไร และจะอุดช่องว่างด้วยวิธีไหน ที่ทำให้คนที่ถูกลงโทษได้รับโทษตามสมควร รวมทั้งอยากให้ประชาสังคมได้เรียนรู้ว่าคนโกงคือคนไม่ดี ไม่ใช่ให้คนมองว่าเป็นวีรบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นคดีนายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำเนินการภายหลังรัฐประหาร และควรมีการบังคับใช้กฎหมายการตรวจสอบคอร์รัปชันเหมือนกันทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใด เพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เองมีมาตรา 279 ที่คุ้มครองอยู่ ซึ่ง คสช.เขียนกฎหมายขึ้นเองเพื่อเปิดช่องให้มีการทุจริต แล้วเช่นนี้การคอร์รัปชันจะหมดไปได้อย่างไร.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"