ไปไหว้พระ สักการะเจดีย์ชเวดากองจำลอง ที่ท่าขี้เหล็ก เมียนมา


เพิ่มเพื่อน    

(วิวเมืองท่าขี้เหล็กมองจากเจดีย์ชเวดากองลงมา)

    ถ้าอยากไปเมียนมาแบบเช้าไปเย็นกลับ ท่าขี้เหล็ก ที่อยู่ชายแดนติดกับไทย จังหวัดเชียงราย ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เมื่อเร็วๆ นี้ ททท.พาไปเที่ยวท่าขี้เหล็กเพื่อไหว้พระและเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในละแวกนั้น ตามโปรแกรมก็คือ วัดพระหยกขาว (Union of Myanmar Township Dhammayon Tachileik), เจดีย์ชเวดากองจำลอง, วัดพระเจ้าระแข่ง ที่คณะจะใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ไม่นานราวๆ 2 ชั่วโมงกว่า เพื่อไม่ให้เสียเวลาเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป

(ทางเข้าด่านจากแม่สายข้ามฝั่งไปท่าขี้เหล็ก)

    การเข้าเขตเมียนมาท่าขี้เหล็ก ทุกคนจะต้องมีหนังสือผ่านแดนชั่วคราว และผ่าน ตม.ของเมียนมา หลักฐานที่ใช้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่บัตรประชาชนใบเดียวก็ทำใบผ่านแดนได้แล้ว โดยค่าใช้จ่ายประมาณ 30 บาท ค่าข้ามแดนอีก 10 บาท ก็ตกคนละ 40 บาท แต่สำหรับใครที่มีพาสปอร์ต ได้ยินมาว่าอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 500 บาท เพราะต้องมีวีซ่า
    ด่านฝั่งไทยที่จะข้ามไปท่าขี้เหล็กก็คือด่านแม่สาย บรรยากาศความเป็นชายแดนที่นี่ดูคึกคักเพราะจะมีคนพม่า ส่วนมากน่าจะเป็นพ่อค้าขนสินค้าจากไทยข้ามฝั่งไปเมียนมามากมาย บางคนก็มารับจ้างฝั่งไทย ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวชาวพม่าที่เข้ามาทำงาน เอกลักษณ์เห็นได้จากใบหน้าที่แต่งแต้มแป้งทานาคา ซึ่งก็พูดไทยได้ และผู้ชายบางคนก็ยังนุ่งโสร่งอยู่

(แป้งทานาคาแบบท่อนๆ พร้อมอุปกรณ์ฝน และแบบผงฝนแล้ว)

    คณะของเราเดินผ่านพ้นประตูเขตแดนฝั่งไทยมาฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา สิ่งที่ทุกคนจะต้องเจอก่อนเลยคือ การขายทัวร์ของคนในท้องที่ แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะพูดไทยคล่องกันทุกคน แถมยังมีพูดภาษาอังกฤษถ้าเจอนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ 
    พอเข้าด่านท่าขี้เหล็กมาแล้วอย่างแรกที่เจอก็คือ โซนขายสินค้าก๊อปส่งตรงมาจากประเทศจีน มีทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า ของใช้ แผ่นซีดีหนัง เพลง สารพัด ขายกันเป็นล่ำเป็นสัน 
    เราผ่านจุดการค้ามาแล้วก็ออกเดินไปยังบริเวณวงเวียน จ.ท่าขี้เหล็ก ที่เป็นจุดขึ้นรถ รอบๆ บริเวณนี้นับว่าเจริญมากกว่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่เมียนมาเปิดประเทศ เศรษฐกิจแถบนี้มีอัตราการเติบโตดี เห็นได้จากตึก อาคารที่มีมากขึ้น ร้านค้ามีขนาดใหญ่ รวมไปถึงการสัญจร ถนนหนทางนับว่าดีขึ้นมากทีเดียว
    รถที่จะทัวร์ไหว้พระเป็นรถเล็กๆ ใกล้เคียงกับรถกระป๊อบ้านเรา ค่าโดยสารคนละ 100 บาทสำหรับเส้นทางตามโปรแกรม คันหนึ่งก็จะนั่งได้ประมาณ 7-8 คน แต่หากใครไปแบบคนเดียวหรือแพ็กคู่ก็อาจจะต้องตกลงเรื่องราคาหรือสถานที่ไปเที่ยวเพิ่มเติมได้
    ระหว่างทางที่นั่งรถผ่าน เราก็ชมบ้านเรือนสองข้างทางไปเรื่อยๆ เท่าที่เห็นคิดว่าสภาพบ้านเรือนมีการพัฒนา เพราะมีตึกสูง โรงแรม ร้านค้า โดยตามร้านค้ามีป้ายสินค้า มีภาษาไทยให้เห็นอยู่เกือบจะทุกร้าน สิ่งที่เป็นสีสันบนท้องถนนคงจะเป็นเสียงบีบแตรที่ดังมาเป็นระยะแบบไม่ขาดสาย คันนั้นบีบ คันนี้บีบ ประหนึ่งเป็นการทักทายกันบนท้องถนน

(วัดพระเจ้าระแข่ง หรือชาวพม่าเรียกว่าวัดไทใหญ่)

    เราเดินทางมาถึงวัดแรก วัดพระเจ้าระแข่ง หรือชาวพม่าเรียกว่า วัดไทใหญ่ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จะมีรูปแบบของไทใหญ่ผสมพม่า ซึ่งภายในวัดมีพระมหาเมียะมุนีองค์จำลองประดิษฐานอยู่ ซุ้มหลังคาถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ประณีต มีการคาดเดาว่าเป็นฝีมือของช่างชาวมอญ ที่นี่ร่มรื่น บริเวณในจุดอื่นๆ ก็จะเป็นกุฏิ ศาลาพระพุทธรูป ซึ่งบริเวณลานด้านหน้านกพิราบก็จะเยอะมากๆ 

(บริการกางร่มจากสาวพม่า เพราะแดดแรงมาก)

    จุดต่อมาที่เจดีย์ชเวดากองจำลอง ที่มีการกล่าวกันมาว่าสร้างไว้ให้ชาวบ้านที่ไม่สามารถเดินทางไปสักการะเจดีย์ชเวดากององค์จริงได้ ด้วยเส้นทางการสัญจรยังไม่สะดวก ซึ่งในเมืองห่างไกลต่างๆ ก็จะมีองค์จำลองเช่นเดียวกัน ก่อนเข้าไปกราบไหว้ก็ต้องถอดรองเท้า ซึ่งจะเสียค่าฝากรองเท้า 3 บาท และจะมีเด็กสาววัยรุ่นมาคอยให้บริการกางร่ม แน่นอนว่าไม่ใช่บริการฟรี ใครไม่อยากร้อนก็ใช้บริการได้ ราคาก็อยู่ที่ว่าจะให้เท่าไหร่ แต่เธอจะกางร่มให้จนกว่าจะเที่ยวชมเสร็จเลยล่ะ  

(เจดีย์ชเวดากองจำลอง ที่ท่าขี้เหล็ก)

    กลับมาเข้าเรื่องเจดีย์ชเวดากองจำลองที่มีขนาดไม่ใหญ่เท่าองค์จริง แต่เรียกได้ว่ามีความงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย บริเวณรอบองค์พระธาตุเจดีย์จะมีองค์พระประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน และอาคารด้านข้างที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 4 องค์ให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้ แถมจากมุมที่ตั้งเจดีย์ยังมองเห็นวิวของบ้านเมือง ภูเขา ป่าไม้ สวยมากๆ ก่อนกลับเราก็ไม่ลืมที่จะแวะดูของดีของพม่า คือ ทานาคาแบบดั้งเดิม มาทั้งเป็นแท่งไม้ทานาคา พร้อมฐานปูนสำหรับฝนแป้งครบเซตกันเลย ราคาไม่แพง ชุดเล็ก 150 บาท แท่งไม้ใหญ่หน่อยก็ชุดละ 300 บาท น่าจะฝนทาได้ทั้งปี เราก็อยากจะผิวเนียนสวยแบบสาวพม่าบ้าง ก็ได้จัดชุดเล็กไป 1 ชุด เอามาฝนทากันจนกว่าจะสวย

(วัดพระหยกขาว)

    ไม่ไกลกันนัก เป็นวัดสุดท้าย วัดพระหยกขาว หรือภาษาอังกฤษชื่อว่า Union of Myanmar Township Dhammayon Tachileik วัดที่มีความเป็นศิลปะในแบบพม่า วัดแห่งนี้นอกจากจะประดิษฐานพระหยกขาวที่ชาวบ้านหรือผู้คนทั่วไปต่างศรัทธาแล้ว ยังมีไฮไลต์อีกตรงที่พระพุทธรูปองค์ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ด้านหน้าพระหยกขาวที่คนทั่วไปเรียกว่า พระพุทธรูปสามมิติ เพราะเมื่อเราเคลื่อนตัวไปทางไหนก็เหมือนองค์พระเคลื่อนตามเราตลอด ภายในยังมีภาพเขียนพุทธประวัติในแบบของพม่าอีกด้วย กราบไหว้ขอพร เสริมสิริมงคลให้กับตนเองก่อนกลับ
    ตอนขามาเราได้แต่ผ่านตลาดท่าขี้เหล็ก แต่ขากลับได้แวะที่นี่ มีร้านกาแฟให้นั่งชิลๆ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเลยเพราะของบางอย่างแพงกว่าไทยเสียอีก จากจุดนี้เราใช้เวลาเดินแป๊บเดียวก็เข้ามาถึงฝั่งไทย หากใครได้ไปแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก็ห้ามพลาด แวะไปเที่ยวชมดูได้ ใกล้ๆ ใช้เวลาไม่นาน ถ้าค้างแรมด้วยก็น่าจะได้สัมผัสวิถีของชาวบ้านท่าขี้เหล็กมากขึ้นแน่นอน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"