
"บิ๊กตู่" เปิดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ปลุกประชาชนไม่ทนต่อการทุจริต ฟุ้งต้องทำคะแนนเกิน 50% ให้เร็วที่สุด ชี้ต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่ จัดซื้อจัดจ้างต้องโปร่งใส ไม่ยอมให้มีการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการ ลั่นต้องเริ่มที่ตัวเอง ไม่เคยเปิดบ้านต้อนรับใคร "ชวน" กรีด จะพูดจาไพเราะเพราะพริ้ง จะทำสัญลักษณ์ ใส่เสื้อยืดหรือตราอะไร จับมือกันกี่คน ถ้าไม่ปฏิบัติ ไม่มีทางสำเร็จ เพื่อไทยแซะนาฬิกาป้อม ซัด ป.ป.ช.สองมาตรฐาน
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม เวลา 09.00 น. ที่ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบรางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ ประจำปีงบประมาณ 2559-2560 (ITA Awards) และรางวัลประกวดคำขวัญ “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชัน สากล (ประเทศไทย)
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกคนต้องตื่น เพราะเราจะไม่ทนต่อการทุจริต อย่าร่วมมือกับการโกง รัฐบาล ขอยืนยันว่าเราพร้อมร่วมมือกับสากล ป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน แต่การประเมินความโปร่งใสใน 176 ประเทศ ซึ่งมี 120 ประเทศที่มีคะแนนไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และไทยก็อยู่ในนั้น ดังนั้นเราต้องตั้งวัตถุประสงค์ว่าจะต้องทำให้ประเทศหลุดพ้นจากจุดนี้ให้ได้ คะแนนความโปร่งใสจะต้องมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ให้ได้ โดยเราจะต้องทำให้เร็วที่สุด
เขากล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เราได้กำหนดให้ทุกคนในประเทศตระหนักถึงความร้ายแรงและอันตรายที่เกิดขึ้นจากการคอร์รัปชัน โดยรัฐบาลได้ร่วมมือกับ ป.ป.ช. องค์การต่อต้านคอร์รัปชัน และเครือข่ายภาคประชาสังคม จัดงานวันต่อต้านการคอร์รัปชันสากลขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนที่มีร่วมกัน ในการไม่ยอมรับการทุจริต แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปัญหาเหล่านี้ได้สั่งสมมานาน การจะทำให้หมดสิ้นไปในทันทีนั้นเป็นเรื่องยาก โดยทุกอย่างอยู่ที่ความจริงใจและจิตใจของทุกคน
"หลายคนต้องการทำความดี ดังนั้นเราต้องสร้างวัฒนธรรมที่ดีแก่คนไทย แม้จะยากพอสมควร แต่ต้องเร่งสร้างการรับรู้ สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้เกิดขึ้น โดยไม่ยอมรับการทุจริต ไม่ยอมให้มีการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้างต้องโปร่งใส ป้องกันการให้สิทธิประโยชน์ และใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตัวเอง การคอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่ให้เงินให้ทอง แต่มีในลักษณะการเอื้อประโยชน์ต่อกัน หรือที่เรียกว่าการอำนวยความสะดวก ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นได้ทุกที่"
ทุจริตมีอยู่ 2 ทาง
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ เรามีการพัฒนาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีกลไกตรวจสอบจำนวนมาก เหล่านี้เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขให้เกิดเป็นรูปธรรมให้ได้ เพราะไม่ว่าจะเขียนกฎหมายอย่างไร หรือตั้งคนอย่างไรเข้ามา ถ้าไม่เกิดเป็นรูปธรรมหรือจิตใจคนยังไม่เปลี่ยน การแก้ปัญหาก็ลำบาก เพราะการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือทุกคนต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง ส่วนเจ้าหน้าที่จะต้องทำตามขั้นตอนกติกา ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะวุ่นวายจนเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในกระบวนยุติธรรม
พล.อ.ประยุทธ์เผยว่า รัฐบาลได้ร่างระเบียบการนำยุทธศาสตร์และการพัฒนาในภาครัฐ เพื่อให้มีการดำเนินการในทิศทางเดียวกัน พร้อมกับสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เพื่อรู้ถึงพิษภัยและอันตรายในการทุจริต โดยต้องเริ่มที่สังคม เริ่มจากตัวเอง ถ้าทำได้ทุกอย่างจะเบาลงและหมดไปในที่สุด
"ปัจจุบันแม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะดีขึ้น คนทุจริตได้ถูกต่อต้าน และถูกลงโทษ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำต่อไป แม้จะมีการต่อต้านจากผู้ที่กระทำความผิด แต่รัฐบาลก็ต้องทำต่อไป เพราะเรายอมรับไม่ได้ เราต้องไม่เปิดโอกาสให้มีการทุจริต เราต้องเร่งสร้างภาคีเครือข่ายในพื้นที่เสี่ยง"
นายกฯ กล่าวอีกว่า การทุจริตมีอยู่ 2 ทาง คือผู้ให้และผู้รับ มีทั้งทางตรงและทางอ้อม และบางครั้งก็มีนายหน้าก่อให้เกิดการทุจริต และเราจะต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ ถ้ามีแอบอ้างไม่ว่าจะชื่อนายกฯ หรือชื่อใคร เพื่อทุจริต ขอให้ส่งเรื่องมาที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตนจะดูแลอย่างเต็มที่ ตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะถ้าแก้ไขปัญหาตรงนี้ไม่ได้ ทุกอย่างก็ไม่สามารถเดินหน้าได้ ประเทศไทยมีระบบเครือญาติ พรรคพวก และคนรู้จัก ทั้งนี้ ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็ระมัดระวังตัวเองมาโดยตลอด
“จะเห็นว่าผมไม่ไปยุ่งกับใคร ไม่คบกับใคร โดยเฉพาะคนที่จะมาให้ประโยชน์กับผม และใครจะมาหาผมที่บ้าน ผมก็ไม่ให้มา ไม่เคยเปิดบ้านต้อนรับใคร เราต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน และนอกจากปัญหาผู้ให้และผู้รับ กลุ่มนายหน้า เราต้องไปดูด้วยว่า เงินที่สะพัดออกมาจากธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ ถูกนำไปใช้ในที่ต่างๆ อย่างไร เพราะเงินพวกนี้ใช้ง่าย ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับผู้มีรายได้น้อย แล้วก็ถูกบิดเบือน ข้อมูลถูกแพร่สะพัดในทางที่ไม่ถูกต้อง รัฐบาลจึงต้องเอาจริงเอาจัง เร่งสร้างความเข้มแข็ง กระจายรายได้แก่ประชาชน เช่น โครงการบัตรผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น อย่างไรก็ดี รัฐบาลพยายามตรวจสอบในทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการใหญ่หรือโครงการเล็ก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการภายในงาน โดยนายกฯ ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว แต่ระหว่างที่เดินผ่านสื่อฯ นายกฯ ได้ชูกำปั้นมือขวา สัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริต พร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ไม่ทนต่อการทุจริต รักทุกคน”
"นายหัวชวน"กรีด
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้ฟังนายกรัฐมนตรีพูดแล้วเห็นว่าหน่วยงานทั้งหลายพยายามทำเรื่องนี้อยู่ แต่เรื่องนี้ตนเห็นว่าเป็นเรื่องของภาคปฏิบัติ จริงๆ แล้วนโยบายเขียนไว้อย่างไรก็ตาม จะไพเราะเพราะพริ้ง จะทำสัญลักษณ์ ใส่เสื้อยืด หรือตราอะไร จับมือกันกี่คน หรือวิธีไหนก็ตาม ไม่ได้มีผล ถ้าไม่ปฏิบัติ ดังนั้นปัญหาต่างๆ จึงอยู่ที่ภาคปฏิบัติ การต่อต้านถึงจะเกิดขึ้นจริงๆ เพราะเรื่องคอร์รัปชันคือตัวที่ทำให้การพัฒนาประเทศติดขัด ไม่สามารถไปได้ดีเท่าที่ควร การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันควรทำในทุกระดับ ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องทำตั้งแต่ระดับ หมู่บ้าน อบต. อบจ. เทศบาล จังหวัด จนถึงระดับชาติ ซึ่งทุกระดับล้วนมีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์สุจริต และเรื่องการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีการแชร์ข้อมูลในโลกออนไลน์ โดยระบุว่าองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติได้ประกาศค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ปีล่าสุดแล้ว โดยไทยมีคะแนนลดลงจากเดิมว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะข้อมูลล่าสุดที่องค์กรดังกล่าวได้ประกาศนั้นคือผลคะแนนของปี 2559 ซึ่งได้เผยแพร่เมื่อเดือน ม.ค.2560 ส่วนผลคะแนนของปี 2560 ยังไม่ได้ประกาศ โดยคาดว่าน่าจะประกาศในเดือน ม.ค.ปีหน้า นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลในปี 2556 ซึ่งไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 102 จาก 177 ประเทศ มาเผยแพร่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นปีปัจจุบันอีกด้วย
เขากล่าวว่า รัฐบาลเชื่อว่าจากความตั้งใจจริงในการปราบปรามการทุจริตและคอร์รัปชัน จะทำให้ดัชนีการรับรู้การทุจริตในปี 2560 ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลคะแนนของแต่ละประเทศนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาตินำมาพิจารณาด้วย เช่น ในปี 2559 คะแนนของไทยลดลงเพียง 3 คะแนน แต่อันดับตกลงไปอยู่ที่ 101 จากเมื่อปีก่อนอยู่ที่อันดับ 76 อีกทั้งจำนวนประเทศที่ถูกประเมินมีมากขึ้นถึง 176 ประเทศ จากเดิม 168 ประเทศ และหลายประเทศมีคะแนนเท่ากัน รวมทั้งยังพบว่ามีการนำข้อมูลมาจากแหล่งต่างๆ ถึง 13 แห่ง เพื่อใช้ในการการคิดคะแนน แต่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไทยเพียง 7-8 แห่ง นอกนั้นไม่เกี่ยวข้อง แต่นำมาสรุปด้วย เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งแอฟริกา เป็นต้น
“หากพิจารณาสถานการณ์คอร์รัปชันจากการรับรู้ของคนในประเทศเมื่อสิ้นสุดปี 59 สำรวจโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็ปรากฏว่าดีขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ภาพลักษณ์เรื่องการติดสินบนและคอร์รัปชันที่ประเมินโดย IMD และภาพลักษณ์เรื่องการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของรัฐหาประโยชน์ส่วนตัวของ World Justice Project Rule of Law ก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน”พล.ท.สรรเสริญระบุ
ปล่อยรถต้านโกง
ที่ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถ ขสมก.ต้านทุจริต ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ร่วมกับกรรมการ ป.ป.ช. ตัวแทนจากสำนักงาน ป.ป.ท. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ภาคีเครือข่ายภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และภาคประชาสังคม โดยวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลปีนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Zero Tolerance “คนไทยไม่ทนการทุจริต”
พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า อยากให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หน่วยงานใดที่จะเข้ามาช่วยได้เราก็ขอความร่วมมือ ที่ผ่านมา ขสมก.ช่วยประชาสัมพันธ์ป้องกันการทุจริตได้มาก จึงขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายให้ช่วยสังคมและประเทศ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี ให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีธรรมาภิบาล น่าลงทุน ให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่ไม่มีการทุจริต ดังนั้นเราต้องช่วยกันสร้างจิตสำนึกเรื่องนี้ให้ได้
เขายังกล่าวถึงการทำงานของ ป.ป.ช.ว่า ทุกวันนี้ ป.ป.ช.รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตประมาณเดือนละ 500 เรื่อง ปีละประมาณ 6,000 เรื่อง และมีปริมาณมากขึ้นตามลำดับ นั่นแสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อ ป.ป.ช.และรัฐบาลมากขึ้น โดยเมื่อเชื่อมั่นมาก จึงได้ร้องเรียนเข้ามามาก ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ดำเนินการทุกอย่างจริงจัง โดยนำผู้กระทำผิดให้ได้รับโทษ จึงทำให้เกิดความเกรงกลัว เชื่อว่าอีก 3 ปีข้างหน้า การทุจริตคอร์รัปชันจะลดลง เช่นเดียวกับการร้องเรียนกล่าวหาก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
“เชื่อว่า 1-2 ปีข้างหน้าการร้องเรียนจะเพิ่มขึ้นก่อน จึงค่อยๆ ลดลง สิ่งสำคัญคือสังคมไทยจะต้องไม่คอร์รัปชัน เราต้องไม่ยอม เมื่อเห็นการทุจริตจะต้องแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องคอยติดตามและเตือน ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ต้องรีบดำเนินการ โดยประชาชนและสื่อมวลชนสามารถตรวจสอบได้ หากสังคมเป็นเช่นนี้ จะไม่มีใครกล้าคอร์รัปชันได้ ทั้งนี้ กฎหมายได้คุ้มครองผู้ที่ร้องเรียนแจ้งเบาะแส และเมื่อยึดทรัพย์สินแล้ว อาจแบ่งให้กับผู้แจ้งเบาะแสด้วย”
ประธาน ป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องนาฬิกาหรูและแหวนเพชร ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่า เรื่องดังกล่าวเลขาธิการ ป.ป.ช.จะเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่มีอยู่ เบื้องต้นน่าจะเป็นเรื่องของการชี้แจงเท่านั้น ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรคงมีหลักฐานของตัวเองเพื่อที่จะแจงเข้ามาที่ ป.ป.ช.
"ป้อม"ไม่ห่วงนาฬิกาหรู
เมื่อถามว่า ในฐานะประธาน ป.ป.ช. ได้กำชับเรื่องดังกล่าวอย่างไรบ้าง เพราะสังคมต้องการทราบคำตอบ พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร ให้เลขาฯ ป.ป.ช.ทำหนังสือถึง พล.อ.ประวิตรแล้ว ท่านจะได้ชี้แจงกลับมา โดยยื่นหลักฐานเอกสารต่างๆ จากนั้น ป.ป.ช.จะได้ดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ เลขาฯ ป.ป.ช.จะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ขอให้ถามไปที่เลขาฯ ป.ป.ช. เพราะก่อนหน้านี้เป็นเพียงการรายงานให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ทราบเท่านั้น
ซักว่าสังคมมีการเปรียบเทียบเรื่องดังกล่าวกับกรณีที่ ป.ป.ช.เรียกสอบนาฬิกาหรูของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะแก้ข้อครหาอย่างไร พล.ต.อ.วัชรพล ตอบว่า คิดว่าเรื่องนี้ต้องรอ เมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้น ป.ป.ช ได้ขอให้ท่านชี้แจง เมื่อได้ชี้แจงมาแล้ว เราก็ต้องวิเคราะห์ ซึ่งมีกระบวนการในการตรวจสอบอยู่ แต่เราคงไม่ไปเร่งรัดอะไร หรือไปบอกก่อน ก็คงไม่ได้
เมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่ สังคมมองว่าประธาน ป.ป.ช.สนิทกับ พล.อ.ประวิตร ประธาน ป.ป.ช.ยืนยันว่า ไม่หนักใจ ทุกอย่างมีกระบวนการ มีระเบียบและขั้นตอนอยู่แล้ว ไม่รู้สึกกดดันอะไรทั้งสิ้น ทำอย่างตรงไปตรงมาตามขั้นตอน วันนี้แค่รอให้ พล.อ.ประวิตรชี้แจงกลับมา ก่อนจะตรวจสอบตามกระบวนการ เมื่อเราส่งเอกสารไปแล้ว ตามระเบียบ พล.อ.ประวิตรต้องชี้แจงกลับมาภายใน 30 วัน คงต้องให้เวลากับท่านด้วย
ด้าน พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เรื่องนี้ ไม่มีอะไร จบแล้ว ซึ่งตนก็ต้องชี้แจงกรณีดังกล่าวอยู่แล้ว โดยตนอาจจะทำหนังสือชี้แจงรายละเอียด และข้อเท็จจริงไปยัง ป.ป.ช. ภายในเวลาที่กำหนด
ขณะที่ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า เป็นเรื่องตลก รัฐบาลพยายามรณรงค์ปราบปรามคอร์รัปชัน ทั้งข้าราชการ นักการเมือง แต่กรณีนี้ พล.อ.ประวิตร กลับไม่ได้แจ้งทรัพย์สินในส่วนนาฬิกา แหวนเพชร
เขากล่าวว่า จากกรณีนี้คนยังขยายความไปถึง นาฬิกาหรูของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มูลค่า 2.5 ล้านบาท ที่ป.ป.ช.เตรียมสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กับกรณีพล.อ.ประวิตร แทนที่ ป.ป.ช.จะเต้นใส่ กลับดูเหมือนว่าป.ป.ช.ไม่เต้น อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ต้องดูต่อว่า พล.ต.อ.วัชรพลจะดำเนินการตามหน้าที่หรือไม่ ถ้าไม่ทำเขาก็จะเสีย แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตความสัมพันธ์ระหว่าง ประธาน ป.ป.ช.กับ พล.อ.ประวิตร เรื่องนี้ก็ต้องว่ากันไป ส่วน พล.อ.ประวิตรจะชี้แจงอย่างไร ขอให้ชี้แจงมา ได้ทรัพย์สินมาตอนไหน ก่อนหรือหลังรับตำแหน่ง ชี้แจงแล้วจะฟังขึ้นหรือไม่ขึ้น คนจะเชื่อหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง ขอให้ชี้แจงมาก่อน
ชำแหละ กม.ป.ป.ช.
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ..... ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ สนช. ว่าร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ตรวจสอบแล้ว มีหลายประเด็นที่จะทำให้กระบวนการตรวจสอบป้องกันการทุจริตด้อยประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด
เขากล่าวว่า มีประเด็นอยู่สองประเด็นที่จะชี้ให้เห็นว่าการยกร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ชอบมาพากล มีพิรุธในการยกร่าง ไม่มีเหตุและผลประกอบการยกร่างที่เพียงพอ เช่น ในร่างมาตรา 104 กรณีการยื่นบัญชีทรัพย์สินมาตราดังกล่าวนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลโดยสรุปของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และตำแหน่งอื่นอีกสองตำแหน่ง โดยมีข้อยกเว้นว่า ให้มีการเปิดเผยโดยสรุปและไม่ต้องระบุถึงรายละเอียดทางทะเบียนของทรัพย์สิน ซึ่งเหตุผลของการยกร่างจะด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบได้
แต่หลักการของร่างกฎหมายดังกล่าวขัดต่อหลักการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการป้องกันที่ดี เมื่อเข้ามาสู่ตำแหน่งทางการเมืองแล้วย่อมจะต้องพร้อมต่อการตรวจสอบ บรรทัดบนบอกว่า เพื่อประโยชน์ในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน แต่พออีกบรรทัดบอกว่า ให้เปิดเผยให้ประชาชนทราบ โดยสรุปและไม่ต้องบอกรายละเอียดทางทะเบียนของทรัพย์ นี้คือความผิดปกติของการร่างกฎหมายขัดแย้งกันในตัว
นอกจากนี้ ในร่างมาตรา 127 ในหมวดที่ 7 เรื่องการส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ที่จะให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เพราะเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายเรียกร้องมาโดยตลอด แต่ในหลักการของกฎหมายกลับไม่เป็นการส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างแท้จริง เพราะในวรรคสี่กลับบอกว่า บัญชีทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่เป็นความลับทางราชการ จะเปิดเผยไม่ได้ ผิดหลักการเปิดให้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบและเปิดเผย ควรที่จะยกร่างให้มีกระบวนการตรวจสอบอย่างแท้จริง เปิดเผยตรวจสอบได้
“ทั้งสองมาตรานี้ เห็นได้ชัดว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 233 ที่ให้มีการตรวจสอบและเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของทุกตำแหน่งที่ยื่น สนช.ควรพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดรอบคอบ อย่าเกรงใจใคร เพราะท้ายที่สุดคนที่จะเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้งก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ รับราชการมากี่ปี รวมทรัพย์สินแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่ นี้คือสิ่งที่ต้องเปิดเผยในวันข้างหน้า” นายราเมศกล่าว
ขรก.โกงกว่านักการเมือง
กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “ปัญหาคอร์รัปชันในมุมมองคนไทย” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,205 คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 30.7 นึกถึงข้าราชการ หน่วยงานราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ มากที่สุดเมื่อพูดถึงการทุจริตคอร์รัปชัน รองลงมาคือนักการเมือง (ร้อยละ 23.3) และการจ่ายเงินใต้โต๊ะ ติดสินบน (ร้อยละ 11.4)
เมื่อถามว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันใดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลยในสังคมไทย พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 78.7 เห็นว่าเป็นปัญหาการติดสินบน การจ่ายใต้โต๊ะ รองลงมาร้อยละ 57.5 ปัญหาการฮั้วประมูลในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ และร้อยละ 51.1 ปัญหาเกี่ยวกับระบบข้าราชการ
สำหรับสาเหตุที่ทำให้สังคมไทยยังคงมีการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 61.3 เห็นว่าโทษการเอาผิดผู้ทุจริตคอร์รัปชันไม่เด็ดขาด รุนแรง รองลงมาร้อยละ 52.1 เห็นว่าระบบราชการยังเหมือนเดิม เปิดโอกาสให้เอื้อทุจริตคอร์รัปชัน และร้อยละ 49.3 เห็นว่ากฎหมายมีช่องโหว่ล้าสมัย
ทั้งนี้ เมื่อถามว่าอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างไร ส่วนใหญ่ร้อยละ 63.9 อยากให้เอาผิดและลงโทษผู้ทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง รองลงมาร้อยละ 45.3 อยากให้ปลูกฝังค่านิยมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และร้อยละ 37.8 อยากให้ปลูกฝังค่านิยมด้านการประกอบอาชีพสุจริต
เมื่อถามว่า คิดว่าการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลในปัจจุบันเป็นอย่างไร ประชาชนร้อยละ 44.9 เห็นว่าแก้ปัญหาได้บ้าง แต่ก็กลับมาคอร์รัปชันแบบเดิมอีก ขณะที่ร้อยละ 43.4 เห็นว่าไม่มีมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีคอร์รัปชันเหมือนเดิม ส่วนร้อยละ 11.7 เห็นว่าแก้ปัญหาจนการคอร์รัปชันลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สุดท้ายเมื่อถามว่า บทเรียนจากคดีทุจริตจำนำข้าว จะเป็นตัวอย่างทำให้นักการเมืองไม่ทุจริตคอร์รัปชันได้มากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 50.3 เห็นว่าทำได้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 49.7 เห็นว่าทำได้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |