“วิษณุ” ย้ำ คสช.พร้อมรับผิดชอบทุกอย่างเรื่องปลดล็อก เผยมีสารพัดแนวคิดชงมารอให้ตัดสินแล้ว "บิ๊กป้อม" ยันไม่หยิบเรื่องนี้เข้าหารือ ระบุต้องให้ฝ่ายข่าวประเมินก่อน "สมศักดิ์ เทพสุทิน” โผล่เสนอแนวปรองดอง แนะงดใช้รัฐธรรมนูญ 2560 บางมาตราในเวลา 1 ปี จับตา 15 ธ.ค.อัยการสูงสุดเคาะคดี กปปส.หรือไม่ “สมชัย” ตอกย้ำขั้นตอนเลือก กกต.ของศาลฎีกา ชี้ต้องให้ประธานตัดสิน
เมื่อวันจันทร์ที่ 11 ธ.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองปฏิบัติตามกรอบเวลาในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ไม่ทัน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหาย ว่าเรื่องการปลดล็อก คสช.จะเป็นผู้พิจารณา เพราะมีฝ่ายติดตาม ประเมินสถานการณ์กันต่อวันอยู่แล้ว ทุกฝ่ายรู้กรอบเวลา แต่ถ้าไม่ทันตามกรอบเวลาขึ้นมา คสช.ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยหาวิธีการทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้กระทบกับการปฏิบัติตามกรอบของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอให้แก้ไขบทเฉพาะกาลใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองเพื่อขยายกรอบเวลาออกไป นายวิษณุตอบว่า สนช.มีการพูดกัน และมีคนเสนออย่างไม่เป็นทางการมายังรัฐบาล โดยรัฐบาลรับไว้ และจะส่งให้ คสช.พิจารณาต่อไป
ต่อข้อถามว่า การใช้มาตรา 44 เป็นทางเลือกหนึ่งหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เมื่อปัญหาติดขัดที่ข้อกฎหมาย ก็ต้องใช้วิธีทางกฎหมายในการแก้ปัญหา ซึ่งสุดท้ายที่ประชุม คสช.จะเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำรวจความคิดเห็นประชาชนสนับสนุนให้ คสช.ปลดล็อกพรรคการเมือง ว่า การจะปลดล็อกให้พรรคการเมืองหรือไม่ในช่วงนี้ ไม่รู้ และยังไม่ทราบว่าจะปลดล็อกให้เมื่อใด เพราะทาง คสช.ยังไม่ได้ประชุมเรื่องดังกล่าวเลย จะให้ตอบเป็นแนวคิดคนเดียวไม่ได้หรอก ดังนั้นขอให้ คสช.ประชุมและมีมติในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการกันก่อน ถึงจะมีความชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร
"ปัจจัยสำคัญที่จะปลดล็อกให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้นั้น ต้องให้ฝ่ายข่าว คสช.ประเมินสถานการณ์ภาพรวมของประเทศก่อนว่าควรปลดล็อกหรือไม่" พล.อ.ประวิตรระบุ
ด้านนายอมร วาณิชวิวัฒน์ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงผลโพลเนื่องในวันรัฐธรรมนูญของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่ชี้จุดแข็ง-จุดอ่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ว่า จุดแข็งที่ประชาชนส่วนใหญ่สะท้อนผ่านผลโพลยกให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ก็ถือเป็นสิ่งที่ กรธ.ก็อยากเรียกเช่นนั้น ถือได้ว่าเป็นเจตนารมณ์หลักที่ กรธ.มีความมุ่งหมายด้วยการสร้างมาตรการหลายอย่างในการป้องกันและปราบปรามการการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งในฐานะเป็นหนึ่งใน กรธ. รู้สึกดีใจที่ภาพเหล่านี้ยังปรากฏอยู่ในสำนึกของประชาชน
“จุดอ่อนที่ประชาชนเห็นว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจของ คสช.นั้น ยืนยันว่า กรธ.ไม่ได้มีความมุ่งหมายเช่นนั้น การที่ คสช.จะอยู่ต่อไปหรือไม่ แล้วจะอยู่ต่อด้วยวิธีการใด เป็นเรื่องของ คสช. แต่ทุกอย่างต้องผ่านกลไกในรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้น กรธ.ไม่ได้จะทำเพื่อให้ใครคนใดคนหนึ่งให้เข้ามามีอำนาจในอนาคต อีกทั้งกลไกต่างๆ ที่ กรธ.ร่างขึ้น ก็เพื่อดำเนินการตามความมุ่งหมายดีๆ จำนวน 10 ข้อที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ได้วางกรอบไว้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับด้วย เห็นได้จากผลที่เป็นเสียงอันท่วมท้นจากการทำประชามตินั่นเอง” นายอมรกล่าว
เสนองดใช้ รธน.บางมาตรา
วันเดียวกัน มีการแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจในทางการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องความปรองดอง เมื่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. จะนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุม ครม.อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ที่ จ.พิษณุโลกและสุโขทัย วันที่ 25-26 ธ.ค. ว่าเรื่องการสร้างความปรองดอง เมื่อเราได้พูดคุยกับผู้มีอำนาจเต็มแล้ว เชื่อว่าคงเป็นเรื่องง่ายมากๆ อาจมีการของดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อความปรองดองในประเทศ ส่วนโรดแมปจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องใช้เวลาในการพูดคุยอธิบายทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 12 ธ.ค.2560 เวลา 13.30 น. จะเดินทางไปยื่นหนังสือแจ้งเตือนต่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อไปแจ้งเตือนท่านและคณะทำงาน ว่าหากยังมีบุคคลใดจะฝ่าฝืนคำสั่งเดิมของอดีตอธิบดีอัยการคดีพิเศษที่สั่งฟ้องแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. และพวกรวม 51 คน ในข้อหากบฏ-ก่อการร้าย รวม 8 ข้อหา จะดำเนินการทางกฎหมายและกล่าวโทษดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
“ผมไปยื่นกล่าวโทษอัยการสูงสุดต่อ ป.ป.ช. เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้คืนสำนวนกลับสำนักงานอัยการคดีพิเศษ กระบวนการที่เข้าข่ายประวิงเรื่องนี้ หากพบมีบุคคลใดจะพยายามตัดบางข้อหาที่ร้ายแรงออกเพื่อเอื้อประโยชน์หรือช่วยมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ก็จะเข้าข่ายมีความผิดตามระเบียบและกฎหมาย ดังนั้นที่ผมได้ยื่นหนังสือเมื่อวันที่ 16 พ.ย.2560 ให้ดำเนินการส่งฟ้องผู้ต้องหาภายใน 30 วัน บัดนี้จะครบกำหนดระยะเวลาแล้ว คดีนี้ล่าช้ามากว่า 3 ปี 6 เดือนแล้ว หรือจะรอให้คดีที่ฟ้องไปแล้ว 4 ราย ที่จะเสร็จประมาณเดือน ก.พ. 2561 หรือไม่ ถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้” นายวิญญัติระบุ
มีรายงานข่าวความคืบหน้าจากสำนักงาน อสส.ว่า ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ อัยการสำนักงานคดีพิเศษมีการนัดเรียกผู้ต้องหาในคดีชุมนุม กปปส.มาเพื่อฟังคำสั่งคดี ซึ่งการนัดฟังคำสั่งดังกล่าวเป็นการนัดประจำเดือนที่ตัวผู้ต้องหาจะต้องมารายงานตัวหรือส่งทนายความมาเพื่อมารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการ โดยขณะนี้คณะทำงานอัยการคดีพิเศษอยู่ระหว่างการพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อนำส่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณา จึงยังไม่แน่ว่าในวันที่ 15 ธ.ค. จะสามารถมีคำสั่งในคดีได้หรือไม่
"ปกติหากพิจารณาและมีคำสั่งในคดีได้แล้ว ทางอัยการจะกำชับไปยังตัวผู้ต้องหาว่าต้องเดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง แต่การเรียกมาฟังคำสั่งในครั้งนี้เป็นการนัดตามปกติ ซึ่งเมื่อนัดมาวันที่ 15 ธ.ค.แล้ว ก็อาจมีการนัดให้มาฟังคำสั่งอีกครั้งก็ได้ หากมีการพิจารณาสำนวนพยานหลักฐานเสร็จสมบูรณ์" รายงานข่าวแจ้ง
สมชัยย้ำขั้นตอนศาลฎีกา
สำหรับความคืบหน้าในรายชื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากการคัดเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานั้น นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. โพสต์เฟซบุ๊กยืนยันหลังท้วงติงว่า การคัดเลือกอาจไม่ถูกต้องว่าอะไรเกิดขึ้นในการประชุมคัดเลือก กกต.ในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยการประชุมครั้งแรกวันที่ 17 พ.ย. การเลือกตั้งเป็นการลงคะแนนด้วยบัตร โดยในขั้นแรกบัตรที่เตรียมการมามีการใส่หมายเลขของบัตร ซึ่งสามารถไปตรวจเช็กภายหลังได้ว่าบัตรนี้เป็นของใคร ลงคะแนนให้แก่ใคร แต่มีการอภิปรายว่า การลงคะแนนดังกล่าวจะไม่เป็นความลับ เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ว่าใครลงคะแนนให้ใคร จนกระทั่งต้องให้รองประธานศาลฎีกาจำนวน 6 ท่าน ไปประชุมกันหลังบัลลังก์ ไปหาข้อสรุปว่าสมควรใช้บัตรแบบใด
นายสมชัยโพสต์อีกว่า ตามข้อบังคับการประชุมของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หากเกิดปัญหาในการประชุม ให้รองประธานศาลฎีกาไปประชุมปรึกษาหารือเพื่อหาข้อยุติ ซึ่งผลการปรึกษาหารือเสียงข้างมากเห็นชอบให้เอาหมายเลขกำกับบัตรลงคะแนนออก จึงให้มีการจัดพิมพ์บัตรใหม่ที่มีเพียงหมายเลขของผู้สมัครขึ้นใหม่ และใช้เป็นบัตรลงคะแนน โดยการลงคะแนนในการคัดเลือก กกต.ครั้งแรก จึงเป็นการที่ผู้พิพากษาแต่ละคนทำเครื่องหมายลงในบัตรลงคะแนนที่ไม่มีหมายเลขบัตรกำกับ และนำบัตรลงคะแนนดังกล่าวไปหย่อนในหีบบัตร และมีการนับคะแนนหลังจากการลงคะแนนสิ้นสุดลง
นายสมชัยกล่าวต่อว่า การประชุมครั้งที่สอง ในวันที่ 6 ธ.ค. มีการแก้ไขข้อบังคับการประชุมว่า หากมีปัญหาในการประชุม แทนที่จะให้รองประธานศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย ให้ใช้มติจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาแทน และเมื่อมีการทักท้วงว่าสมควรใช้บัตรเลือกตั้งที่มีหมายเลขกำกับเพื่อให้เป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผย จึงมีการขอมติจากที่ประชุมใหญ่ว่าสมควรใช้บัตรเลือกตั้งแบบใด จึงถือเป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผย ที่ประชุมใหญ่มีมติ 86 : 77 ให้ใช้บัตรเลือกตั้งเหมือนกับการประชุมครั้งแรก คือใช้บัตรเลือกตั้งที่ไม่มีหมายเลขกำกับบัตรที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครลงคะแนนให้แก่ใคร การลงคะแนนในการคัดเลือก กกต.ครั้งที่สอง จึงเป็นการที่ให้ผู้พิพากษาแต่ละคนทำเครื่องหมายลงในบัตรลงคะแนนที่ไม่มีหมายเลขกำกับ เช่นเดียวกับการลงคะแนนครั้งที่ 1
“ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งประธาน กกต.ในฐานะผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. จะต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่าเป็นการลงคะแนนโดยเปิดเผยตรงตามมาตรา 12 วรรคสามของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.หรือไม่” นายสมชัยโพสต์ทิ้งท้าย
ไก่อูแนะให้ศาลตัดสิน
ส่วนความเคลื่อนไหวในกรณี ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย จะเชิญผู้แทนจากต่างประเทศร่วมเดินทางไปร่วมรับทราบข้อกล่าวหากับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 นั้น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามหลักกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ทราบข้อกฎหมายดีนักว่าสามารถเชิญใครไปร่วมสังเกตการณ์ได้หรือไม่ แต่ทุกคนทำงานตามกรอบหน้าที่ ชี้แจงไปตามระเบียบขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนนี้เป็นหน้าที่ของ คสช.ที่ฟ้อง ร.ท.หญิงสุณิสา จากข้อมูลข้อเท็จจริงที่มีเหตุผล และปรากฏอยู่บนโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่ง ร.ท.หญิงสุณิสาก็ต้องไปรับฟังข้อกล่าวหา และสู้คดีไปตามกระบวนการยุติธรรม ผิดว่าไปตามผิด ถ้าถูกไม่ว่ากัน เรื่องนั้นต้องไปดูกันที่ศาล คสช.ไม่ใช่ศาลที่จะสามารถตัดสินได้ เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
ด้าน ร.ท.หญิงสุณิสากล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่พร้อมเปิดใจรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หรือถ้าถือเนื้อถือตัวมากนักเลยไม่ชอบให้ชาวบ้านพูดสวน หรือไม่มีความอดทนพอตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนหรือนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ต้องตั้งคำถามแทนประชาชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบ้านเมือง คนแบบนั้นอย่าคิดเป็นนายกฯ แล้วควรถอยออกไปจากการเมือง เพื่อหลีกทางให้คนหน้าใหม่ๆ ที่มีความพร้อมมาลองทำงานบ้าง เผื่อเขาจะมีข้อเสนอใหม่ๆ หรือไอเดียดีๆ เพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง อย่ายึดติดเก้าอี้ไว้คนเดียวเลย
ร.ท.หญิงสุณิสากล่าวต่อว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรีบทำในตอนนี้คือปลดล็อกทางการเมืองให้เร็วที่สุด และรีบเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนและสื่อมวลชนทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ เพื่อให้คนในสังคมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้โดยไม่ต้องกลัวติดคุกและไม่ต้องกลัวถูกจับปรับทัศนคติ จะได้เกิดการระดมสมองอย่างแท้จริง เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ถามหน่อยเถอะ ถ้าประชาชนกลัวถูกจับหรือกลัวติดคุก เขาจะกล้าพูดความจริงกันเหรอ เมื่อไหร่บ้านเมืองมีเสรีภาพและใช้สิทธิเสรีภาพในกรอบของกฎหมาย เมื่อนั้นสังคมไทยอาจได้เห็นเพชรเม็ดใหม่ๆ บ้าง ไม่ใช่พอมองเข้าไปใน ครม.ประยุทธ์แล้วกลับเห็นแต่สังกะสี
“เรื่องคดีของดิฉัน ไม่ต้องห่วงได้เจอกันแน่ที่ บก.ปอท. ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ อาคารบี ตอนเช้าวันพุธที่ 13 ธ.ค. เวลา 09.30 น. ซึ่งได้เชิญผู้แทนทางการทูตจากประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งองค์การสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย” ร.ท.หญิงสุณิสาย้ำ.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |