เมื่อทรัมป์ประกาศ 'ภาวะฉุกเฉิน' สหรัฐฯ ก็ลดตัวเป็นโลกที่สาม!


เพิ่มเพื่อน    

    ผมไม่แน่ใจว่าขณะที่ท่านอ่านคอลัมน์นี้อยู่เช้าวันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 นั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศ "ภาวะฉุกเฉิน" ในประเทศอย่างเป็นทางการ เพื่อให้มีอำนาจในการเบิกงบประมาณมาใช้สร้างกำแพงตรงชายแดนกับเม็กซิโกหรือยัง
    แต่ตอนที่ผมเขียนอยู่นี้ (เช้าวันเสาร์) ข่าวหลายกระแสยืนยันตรงกันว่า ทรัมป์จะลงนามในคำประกาศ State of Emergency เพื่อจะได้สามารถเบิกงบประมาณจากกระทรวงต่างๆ ที่ได้งบประมาณประจำปีไปแล้วเอามาสร้างกำแพงตรงชายแดน
    เหตุที่ต้องใช้มาตรการเข้มข้นชนิดที่ไม่เคยมีอดีตผู้นำสหรัฐฯ คนใดเคยใช้มาก่อน ก็เพราะทรัมป์ต้องการพิสูจน์ให้ ส.ส.พรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่า เขามีทางที่จะใช้อำนาจบริหารเพื่อหาเงินมาสร้างกำแพงตามที่หาเสียงเอาไว้โดยไม่ต้องอาศัยพรรคเดโมแครตแต่อย่างใด
    เพื่อป้องกันไม่มีการ shutdown ของหน่วยราชการรัฐบาลกลางอีกครั้งหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จึงมีการเสนอร่างกฎหมาย "ประนีประนอม" ระหว่างทรัมป์กับสภาผู้แทนราษฎรให้งบประมาณทำรั้วตรงชายแดนเม็กซิโก 1.375 พันล้านเหรียญ (กว่า 40,000 ล้านบาท)
    แต่ทรัมป์ต้องการ 5.7 พันล้านเหรียญ (กว่า 180,000 ล้านบาท)
    เมื่อทรัมป์เล่นเกม "ศรีธนญชัย" อย่างนี้เรื่องก็วุ่น เพราะเท่ากับว่าเขาใช้อำนาจบริหารกระโดดข้ามหัวฝ่ายนิติบัญญัติ โดยไม่สนใจว่าประชาชนคาดหวังว่าฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องเคารพกติกาที่ให้สองฝ่ายนี้คานอำนาจกัน ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถทำอะไรตามใจชอบได้
    ผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ แนนซี เพโรซีออกมาประณามทรัมป์ทันที
    เธอบอกว่าการกระทำของทรัมป์เรื่องนี้เป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎหมายเพียงเพื่อจะให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ
    อย่าลืมว่าทรัมป์เคยประกาศว่าเขาจะทำให้รัฐบาลเม็กซิโกจ่ายค่าสร้างกำแพงนี้
    พอเม็กซิโกตอบโต้ว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมออกเงินสร้างกำแพงที่สร้างปัญหาให้พวกเขาได้  ทรัมป์ก็เลี่ยงบาลีไปบอกว่าเขาจะขึ้นภาษีสินค้าเม็กซิโก และเอาเงินส่วนเกินนั้นไปจ่ายเป็นค่าสร้างกำแพง
    นั่นก็เป็นการพูดออกมาโดยไร้ความรับผิดชอบเพราะทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ และหลังจากนั้นทรัมป์ก็เลิกพูดถึงประเด็นนี้และหันมาฟาดฟันกับเดโมแครตในสภาจนเกิด shutdown และล่าสุดก็บอกว่าจะประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน
    ทำไมต้อง "ฉุกเฉิน"?
    ทรัมป์อ้างว่าเขาสามารถประกาศภาวะฉุกเฉินได้ เพราะหากไม่มีกำแพงตรงชายแดนจะทำให้อาชญากร, ผู้ก่อการร้าย, พ่อค้ายาเสพติด และพวกค้ามนุษย์หลบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้อย่างง่ายดาย  และคนอเมริกันก็ถูกสังหารและทำร้ายโดยคนเหล่านี้มากมายแล้ว เขาถือว่านี่คือภยันตรายของประเทศที่จะยุติได้ก็ด้วยการสร้างกำแพงเท่านั้น
    แต่ฝ่ายเดโมแครตและคนต่อต้านมากมายโต้กลับมาว่าเหตุผลของทรัมป์ฟังไม่ขึ้น เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดและสถิติอาชญากรรมที่เกิดจากคนข้ามชายแดนมานั้นก็ไม่ได้สูงอย่างที่ทรัมป์กล่าวอ้าง ดังนั้นการสร้างกำแพงด้วยงบประมาณมหาศาลเช่นนี้ก็ไม่อาจจะเป็นทางออกได้
    ทรัมป์ไม่สนใจฟังเสียงคัดค้าน เดินหน้าหัวชนกำแพงเพื่อจะให้ได้ตามที่ตนต้องการ
    ในแง่หนึ่ง นี่เป็นกลยุทธ์การหาเสียงของทรัมป์ล่วงหน้าสำหรับการเสนอตัวเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองในการเลือกตั้งอีกสองปีข้างหน้า
    เพราะเขารู้ว่าฐานเสียงของเขา (ชนชั้นกลางล่างที่เป็นผิวขาวส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ประโยชน์จากนโยบายโลกาภิวัตน์และเขตการค้าเสรีในอดีต) ต้องการให้เขาเป็น "ขวัญใจคนจน" ที่พร้อมจะปะฉะดะกับเดโมแครตอย่างไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
    แต่เมื่อทรัมป์ประกาศจะเดินหน้าด้วย "ภาวะฉุกเฉิน" เช่นนี้ ก็มีเสียงจากผู้เชี่ยวชาญกฎหมายบางกลุ่มว่า ศาลระดับรัฐต่างๆ อาจจะออกมาขัดขวางคำประกาศของทรัมป์ เพราะตีความว่าอาจจะผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้ฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติมีอำนาจคานซึ่งกันและกัน มิใช่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างอำนาจประกาศภาวะผิดปกติเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ
    มาตรฐานการเมืองมะกันตกต่ำถึงขั้นต้องใช้ลูกล่อลูกชนเพื่อเอาชนะคะคานกัน โดยไม่เคารพในหลักการแห่งธรรมาภิบาลและการคานอำนาจอย่างถูกต้องชอบธรรมกันแล้ว!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"