จ้องล้างไพ่พรรค! เสรีหนุนเซตซีโรสมาชิก-สมศักดิ์ชงสมัครส.ส.อิสระ


เพิ่มเพื่อน    

สมศักดิ์ เทพสุทิน แถลงข่าวเสนองดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นเวลา 1 ปี

"เสรี" โผล่หนุนแนวคิด “ไพบูลย์-สุเทพ” เซตซีโรสมาชิกพรรค อ้างเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม "กรธ.-สนช." ชี้ไม่จำเป็น แค่ขยายเวลาก็พอ "ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย"ประสานเสียงยี้ นิพิฏฐ์ข้องใจเรื่องจบไปแล้วทำไมขุดมา อัดเอาที่ผู้มีอำนาจสบายใจ เด็กเพื่อแม้วพาเหรดถล่ม คสช.หงายไพ่หวังสืบทอดอำนาจ"สมศักดิ์" ย้ำข้อเสนอพักใช้ รธน. 1 ปีเพื่อปรองดองพร้อม ส.ส.ไม่สังกัดพรรค มีชัยระบุยากเหมือนทำให้ผู้หญิงเป็นผู้ชาย!

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม ยังคงมีผลพวงในการบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ในขณะที่ยังไม่มีการปลดล็อกพรรคการเมือง ทำให้นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยเฉพาะการรีเซตพรรคการเมืองเพื่อตัดปัญหานั้น

ล่าสุด นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านี้ มีเป้าหมายสำคัญคือต้องทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ในบทเฉพาะกาลตามมาตรา 140 ได้กำหนดเรื่องความถูกต้องของสมาชิกพรรค ดังนั้นการรีเซตสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มต้นไปพร้อมๆ กันทุกพรรคการเมือง น่าจะทำให้ประชาชนทั่วไปตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น

“เป็นการปฏิรูปการเมืองตามที่ตั้งใจไว้ และข้อมูลของนายทะเบียนสมาชิกของพรรคการเมืองก็จะไม่ถูกกล่าวว่าทะเบียนสมาชิกเป็นเท็จ หรือพรรคการเมืองไม่ถูกกล่าวหาว่ามีการแอบอ้างผู้ใดสมัครเป็นสมาชิก การรีเซตหรือปฏิรูปสมาชิกพรรคการเมือง จึงเป็นประโยชน์กับพรรคการเมืองทุกพรรค และยังสร้างมิติใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งจะแก้ปัญหาให้เกิดการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมได้” นายเสรีโพสต์

ขณะที่นายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) กล่าวเรื่องนี้ว่า ได้หารือกับนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. ถึงข้อเสนอของนายไพบูลย์และนายสุเทพแล้ว ซึ่งผลการหารือสรุปว่า จะยังไม่มีการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว เนื่องจากบทเฉพาะกาลยังเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองสามารถยื่นเรื่องต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองคือเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ขยายเวลาเกี่ยวกับการปฏิบัติของพรรคการเมืองออกไปได้ แม้ครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 5 ม.ค.2561

นายสมชายกล่าวอีกว่า กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ จะเชิญนายสุเทพ นายไพบูลย์ และ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบดังกล่าวมาชี้แจงถึงปัญหาที่มีการอ้างว่าร่างกฎหมายดังกล่าวไม่เป็นธรรมในวันที่ 22 ธ.ค. เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา

“ส่วนเป็นไปได้หรือไม่ที่ สนช.จะเสนอแก้กฎหมายดังกล่าวด้วยตัวเองนั้น ขณะนี้ยังไม่จำเป็น เพราะบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบันยังมีทางออกอยู่ ซึ่งหากมีการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จะมีขั้นตอนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาแก้ไขภายใน 180 วัน อีกทั้งยังต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีก ซึ่งจะทำให้ไม่ทันกรอบเวลาวันที่ 5 ม.ค.2561” นายสมชายกล่าว

ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า การจะแก้กฎหมายนั้น ต้องแก้เพราะใช้ไม่ได้ แต่หากเวลาไม่พอก็แก้เพื่อขยายเวลาได้ หรือแก้เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป หรือถ้าอยากเซตซีโรแล้วกฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ ก็ไปแก้ให้เซตซีโรได้ไม่เป็นไร แต่ตอนที่ร่างไม่มีข้อเสนอนี้ เมื่อคนที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนใจก็ไม่เป็นไร

“หากมีการแก้ไขจนกระทบกับโรดแมปเลือกตั้งก็ไม่เกี่ยวกับ กรธ.แล้ว เพราะเราทำทุกอย่างตามโรดแมป และเห็นว่าคนที่ออกมาตั้งข้อสังเกตว่ามีขบวนการสมคบคิดแก้กฎหมายเพื่อเลื่อนเลือกตั้งเป็นคนที่เพ้อฝันไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง สังคมอย่าไปเพ้อฝันตาม” นายมีชัยกล่าว

ประธาน กรธ.ยืนยันว่า กฎหมายปัจจุบันได้ให้ความเท่าเทียมกับทุกพรรคการเมืองเท่าที่จะทำได้ ยังไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบอยู่ระหว่างพรรคการเมืองเก่าและใหม่ ตอนที่ร่าง กรธ.จึงไม่ได้คิดเรื่องเซตซีโรเลย ซึ่งถ้าจะเซตซีโร ก็ต้องดูว่าจะเขียนอย่างไร หากไปกำหนดยกเลิกสมาชิกก็ไม่เป็นธรรมสำหรับสมาชิกพรรค แต่เรายังไม่รู้ว่าเขาจะแก้อย่างนี้หรือไม่ มีเพียงแต่คำพูดว่าจะเซตซีโร เพราะคนที่คิดอาจมีวิธีการที่ไม่เป็นแบบนี้ก็ได้

ปชป.เมินรีเซตสมาชิกพรรค

ส่วนความคิดเห็นของซีกนักการเมืองนั้น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ยังไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพราะยังไม่เป็นปัญหาอุปสรรคอะไร แต่ถ้าเราใช้แล้วพบว่ามีอุปสรรคดำเนินการไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ก็อาจเสนอแก้ไขได้ ส่วนการเสนอให้รีเซตสมาชิกพรรคนั้น คิดว่าทันทีที่บังคับใช้กฎหมายได้ ประชาชนจะตัดสินใจได้ในการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไหน อย่างไร และสามารถดำเนินการตามที่ตัวเองประสงค์ได้อยู่แล้ว

“แม้ว่าสมาชิกพรรคการเมืองที่เป็นอยู่ก่อนแล้วก็ย่อมมีสิทธิ์ตัดสินได้ว่าจะเป็นสมาชิกพรรคเดิมหรือไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคใหม่ได้ ไม่จำเป็นที่ต้องไปรีเซตสมาชิกพรรค” นายองอาจกล่าว และว่า การแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และเพื่อการปฏิรูปพรรคการเมือง ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของส่วนตนหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ใช่แก้ไขเพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง

“ไม่ทราบเจตนารมณ์ชัดเจนว่าการเสนอแก้ไขครั้งนี้แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายอะไร แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า การออกมานำเสนอเรื่องนี้จากฝ่ายต่างๆ สอดคล้องกันอย่างผิดสังเกต ระหว่างคนในรัฐบาลและคนใน สนช. แต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ คิดว่าวันเวลาจะพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเพื่ออะไร” นายองอาจระบุ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้า ปชป. กล่าวว่า พรรคเคยเข้าไปชี้แจงและให้ข้อมูลแก่ กรธ.และ สนช.ตั้งแต่เริ่มยกร่าง พ.ร.บ.แล้ว โดยมีข้อสรุปว่าจะไม่รีเซตสมาชิกพรรค ดังนั้นกฎหมายพรรคการเมืองจึงไม่มีการรีเซต แต่เมื่อกฎหมายประกาศใช้ ก็มีข้อเสนอรีเซตกลับมาอีกครั้ง ซึ่งการกลับไปกลับมาแบบที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาธิปไตยกลับไปกลับมาตลอด ไม่มีอะไรที่ตกผลึก วันนี้คิดอย่าง พรุ่งนี้คิดอย่าง มันแล้วแต่ว่าคนมีอำนาจต้องการไปทางไหน
“เรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในบ้านเมืองไม่มีหลักการอะไรเสียอย่าง เป็นการส่งสัญญาณของผู้มีอำนาจ คนไม่เคยทำพรรคการเมืองเขาไม่ทราบว่าสมาชิกผูกพันกับพรรคอย่างไร เมื่อมีการรีเซตสมาชิกก็เท่ากับลดความเข้มแข็งของพรรคการเมืองอีก เรื่องทั้งหมดเคยคุยและตกผนึกไปแล้วว่าจะไม่รีเซต แต่วันนี้กลับมาเรียกร้องอีก ดังนั้นก็แล้วแต่เขา มีอำนาจก็ว่าไป” นายนิพิฏฐ์กล่าว

ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล ฝ่ายกฎหมายและแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้ปล่อยให้พรรคการเมืองคงสภาพอยู่มาตลอดโดยไม่ยกเลิกพรรคการเมืองคู่กับสมาชิก แต่พอจะเลือกตั้งให้สมาชิกหมดไป ไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบาย ซึ่งกฎหมายพรรคการเมือง 2560 ไม่ได้ทำให้พรรคการเมืองใหม่เสียเปรียบอะไรเลย แต่คงจะลำบากถ้าพรรคใหม่นั้นอยากเป็นพรรคใหญ่แบบทันทีทันใด ยิ่งเสนออะไรกันมาในช่วงนี้ก็เห็นอะไรๆ กันแบบไม่ต้องคิดมากเลย

“เรื่องที่เสนอเป็นเรื่องย้อนยุค ลำพังรัฐธรรมนูญก็ย้อนยุคไปมากแล้ว จะให้ย้อนไปอีกแบบการเมืองก่อนการปฏิรูปเมื่อ 2540 กระนั้นหรือ ที่สงสัยอยู่คือถ้าจะทำต้องแก้รัฐธรรมนูญและเข้าใจว่าต้องทำประชามติ เพระเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของบุคคลในรัฐธรรมนูญ ดูแล้วคงโกลาหลน่าดู จะหาความชอบธรรมได้หรือ ที่หวั่นๆ คือทำแล้วจะถือโอกาสเลื่อนโรดแมป จะกลายเป็นชงเรื่องเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก หากใครทำคือการเดินวนอยู่ในกะลา และจะเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นใหม่โดยเปล่าประโยชน์” นายชูศักดิ์กล่าว

ซัด คสช.หวังสืบทอดอำนาจ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำ พท. มองว่า เป็นความพยายามไม่ต้องการให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง พยายามให้พรรคการเมืองเจอปัญหาต่างๆ จนไม่สามารถส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้ หรือถึงขั้นทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป ตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับ พล.อ.ประยุทธ์และพวก ที่ต้องการอยู่ในอำนาจนานๆ เพื่อใช้เวลาในการจัดการไม่ให้พรรคการเมืองเตรียมพร้อมได้ทัน หรือรวมตัวกันติด เขาต้องการเวลาเพื่อจัดการให้มั่นใจว่าเขาจะกลับมาได้

นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พท.กล่าวว่า พรรคไม่ได้เดือดร้อน สมาชิกไม่ได้มากมาย การจะรีเซตหรือไม่ ไม่มีปัญหาอะไร แต่เหตุที่ทำอย่างนี้ เข้าใจว่าพอคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นพวกของตัวเองอย่างนายไพบูลย์ประกาศจะตั้งพรรค ดูแล้วเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมีเงื่อนไขอะไรต่างๆ ที่กว่าจะทำออกมาได้มันยาก จึงมีการเสนอแนวคิดดังกล่าวกันขึ้น คนพวกนี้เล่นดนตรีวงเดียวกัน นายไพบูลย์เห็นว่าทำยากแล้วจะมีปัญหาตามมา นายเสรีเลยออกมาเสนอแนวคิดดังกล่าว อ้างว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เรื่องนี้ไม่แปลกใจ

“จะทำอะไรให้นึกถึงหัวอกประชาชนบ้าง เขาไม่ได้โง่ จะรีเซตสมาชิกพรรคใหม่หรือไม่ ไม่มีปัญหาสำหรับพรรคเพื่อไทย บอกเพื่อความเป็นธรรม ไม่รู้ว่าจะเป็นธรรมกับเฉพาะพวกตัวเองหรือไม่ นอกจากนี้เงื่อนไขรัฐธรรมนูญก็ระบุชัด นับแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.พรรคการเมืองต้องปลดล็อกใน 90 วัน ถ้าท่านยังไม่ปลดล็อก พรรคอาจทำไม่ทัน ถ้าจะผิดคุณทำผิดก่อนที่ไม่ทำตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เมื่อ คสช.ยังไม่ทำตาม แล้วจะให้พรรคการเมืองทำตามได้อย่างไร เราทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ฟ้องร้องพี่น้องประชาชน” นายสมคิดกล่าว

นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พท. มองว่า กระบวนการร่าง กระบวนการคว่ำ กระบวนการแก้ เป็นกระบวนการยื้อให้ คสช.และรัฐบาลอยู่ในอำนาจต่อไปใช่หรือไม่ วันนี้แม้จะมีการเลือกตั้งแล้วไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ก็ไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างปกติ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดอำนาจ ส.ส. ส.ว. ยุทธศาสตร์ชาติ องค์กรอิสระ ทุกอย่างต่างมีเงื่อนไขที่ไม่ให้รัฐบาลบริหารประเทศด้วยความยากลำบากทั้งสิ้น จึงเห็นได้ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากกับดักของรัฐธรรมนูญ

นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งข้อสงสัยว่า ข้อเสนอต่างๆ ควรส่งไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่กฎหมายเสร็จแล้วมาขอแก้ไขอย่างนี้ไม่มีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งนายไพบูลย์และนายสุเทพเคยทำงานในสภา รู้ขั้นตอนการออกกฎหมายดี การเสนออย่างนี้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นกลเกมเพื่อยื้อเวลา ดึงเวลาเพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวในทางการเมือง เพราะถ้ามีเลือกตั้งเร็วๆ นี้ พรรคเพื่อไทยน่าจะได้คะแนนมากกว่าพรรคการเมืองของทั้ง 2 คนนี้ หรือพรรคการเมืองอื่น จึงไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง

“การเสนออย่างนี้มองได้ว่าเป็นการรับลูกฝ่ายทหารมาดำเนินการสอดรับกัน เพราะตั้งแต่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองออกมาบังคับใช้ แต่กลับไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ ทั้งที่มีกรอบเวลากำหนดอยู่ในกฎหมาย ก็เพราะ คสช.ต้องการยื้อเวลาตรงนี้ออกไป ไม่ให้มีการเลือกตั้ง เพื่อที่จะได้อยู่ในอำนาจยาวๆ แต่จะอยู่ได้ยาวจริงหรือไม่ ไม่รู้จริงๆ เพราะคนเบื่อรัฐบาลนี้ทั้งประเทศแล้ว” นายก่อแก้วกล่าว

เรียงหินย้ำชงพักใช้ รธน.

วันเดียวกัน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมาธิปไตย กล่าวย้ำถึงข้อเสนอให้งดเว้นใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเพื่อสร้างความปรองดอง ว่าเป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น หากใช้แนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ไม่สำเร็จ ก็ขอให้ใช้แนวทางดังกล่าวในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ โดยให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง เนื่องจากจะมีความเป็นอิสระ ไม่ผูกติดกับมติพรรค และสามารถแก้ปัญหาเรื่องความปรองดองได้ โดยแนวทางนี้รัฐบาลสามารถทำได้คือ ใช้มาตรา 44 หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัด และใช้ระบบเลิกตั้งแบบแบ่งเขตทั้งหมด 400 เขต โดยไม่ต้องมี ส.ส.บัญชีรายชื่อ และมีเวลา 1 ปี เช่น กฎหมายพรรคการเมือง และการแก้ไขระบบการเลือกตั้ง

“หากภายหลังการเลือกตั้งยังเป็น ส.ส.ต้องสังกัดพรรค ส่วนตัวเชื่อว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมา อาจทำให้เกิดมวลมหาม็อบออกมาขับไล่รัฐบาล และทำให้บ้านเมืองถึงทางตันเหมือนในอดีตและต้องรัฐประหาร ผมเป็นนักการเมืองมาหลายปี ซึ่งระบบพรรคการเมืองถือว่าดีที่สุด แต่ขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านและอยู่ในภาวะพิเศษ จึงเห็นว่าควรให้มี ส.ส.อิสระโดยไม่ต้องสังกัดพรรค เพื่อแก้ปัญหาม็อบที่จะตามมา เนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองที่มีสีเสื้อคอยสนับสนุน ซึ่งข้อเสนอผมตรงนี้เป็นเพียงชั่วคราว 1 ปีเท่านั้น ยืนยันว่าข้อเสนอทั้งหมดเป็นความคิดผมคนเดียว ไม่ได้รับคำสั่งใครมาทั้งสิ้น" นายสมศักดิ์ระบุ

เมื่อถามว่า แนวทางนี้จะเข้าข้างฝ่ายทหารหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะข้อเสนอนี้มองแต่หลักการเรื่องความปรองดองเท่านั้น ส่วนอนาคตทางการเมืองขณะนี้ยังไม่คิดอะไร แต่หากต้องสังกัดพรรคก็ขออยู่กับพรรคที่มีแนวทางสอดคล้องกับตัวเอง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความยากจน หรือโครงการโคล้านตัว ที่เคยผลักดันในอดีตแต่ยังไม่สำเร็จ

นายมีชัยกล่าวถึงข้อเสนอของนายสมศักดิ์ว่า เป็นข้อเสนอที่เป็นไปได้ แต่ลำบาก เหมือนทำให้ผู้หญิงเป็นผู้ชาย ทำได้แต่ลำบาก การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยาก ซึ่งตามช่องทางขณะนี้อำนาจของคนที่จะเสนอแก้ไขได้คือ สนช. แต่ถ้ากระทบบางเรื่องต้องไปทำประชามติ ซึ่งต้องไปดูด้วยว่าประเด็นที่จะแก้ไขเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่าต้องทำประชามติด้วยหรือไม่

นายสมชายกล่าวเช่นกันว่า เวลานี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่จำเป็น เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ ถ้าจะแก้ต้องมีเหตุผลและความจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น แต่หากมีอะไรติดขัดขึ้นมาจริงๆ เช่น ติดขัดที่การปฏิบัติก็ต้องแก้ที่ตัวกฎหมาย แต่ถ้ากฎหมายติดขัดแค่คำอธิบาย เราก็ต้องอธิบายให้เข้าใจ

ด้านนายไพบูลย์กล่าวว่า เข้าใจว่าผู้เสนอคิดทำตามอำเภอใจ ถ้าผู้มีอำนาจรับลูกในประเด็นนี้ คาดว่าจะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ขึ้น เพราะเป็นข้อเสนอที่ให้ใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ ซึ่งห่วงว่าจะจุดชนวนขัดแย้งซ้ำรอยเหมือนปี 2551 ที่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ที่เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เพิ่งใช้ โดยขอรื้อแก้หลายมาตราจนเกิดเหตุชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญปี 2560 จึงออกแบบมาให้แก้ไขได้ยากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอย่างที่ผ่านมา จึงมองว่าเป็นข้อเสนอที่สุดขั้ว ถ้าผู้มีอำนาจรับลูก ก็จะเข้าทางฝ่ายผู้จ้องจะล้มรัฐบาล คสช. เพราะประเด็นนี้สามารถจุดติดไฟลุกท่วมทันที และเรียกแขกได้แน่ ทั้งจะเกิดความขัดแย้งรอบใหม่ และไม่ได้เป็นแนวทางในการสร้างความปรองดองอย่างที่ปากว่า แต่เป็นการขุดบ่อล่อให้ตกเหวมากกว่า เนื่องจากไม่ได้เสนออยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์ความเป็นจริงที่สามารถทำได้

"ที่เขาเสนอให้ใช้มาตรา 44 นั้น แสดงว่าคนเสนอไม่มีความรู้ทั้งด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ เพราะมาตรา 44 มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่า พ.ร.บ.เท่านั้น จะไปใช้กฎหมายที่ต่ำศักดิ์กว่าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติได้อย่างไร จึงเป็นข้อเสนอที่คิดเอาเองโดยไม่ได้ปรึกษาผู้รู้กฎหมาย ข้อเสนอนี้จะทำให้เกิดปัญหา เพราะส่งเสริมให้เกิดความแตกแยก ขัดแย้งในสังคม ซึ่งทุกคนมีสิทธิในการเสนอความคิดเห็นได้ แต่ควรอยู่บนหลักการและหลักคิดที่เป็นไปได้" นายไพบูลย์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"