
ตอกฝาโลงสภาสีขาว “วิษณุ” ซัดแนวคิดอดีต รมต.เรียงหินมาช้า ไม่มีทางทำได้ ส่วนเรื่องเซตซีโรพรรคการเมืองนั้น ครม.ยังไม่มีแนวคิด เผยหาก สนช.รวมตัว 25 คนเข้าชื่อก็ชงแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้ “ปชป.-พท.” ประสานเสียงอัดยับแนวคิดสมศักดิ์ ถอยหลังเข้าคลอง ฟื้นสภาโสเภณี ข้องใจหวังเคาะกะลาเลื่อนเลือกตั้ง ดัน “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” สืบทอดอำนาจยาว
เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงข้อเสนอของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมาธิปไตย ในเรื่องโมเดลสภาสีขาวในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคในการเลือกตั้ง และเลิกระบบ ส.ส.แบบแบ่งเขตทั้งหมด 400 เขต รวมทั้งไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ
โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ฟัง แต่จะฟังเท่าที่ฟังได้ รวมถึงบางท่านก็ฟัง เรื่องการเมืองก็ฟังนะ และคิดตามทุกคนที่ชี้แจงอยู่ แต่ต้องค่อยๆ คิดแก้ไขปัญหา รับฟังทุกคนที่พูด แต่จะให้ทำตามทุกคนคงไม่ได้ และที่ผ่านมาก็ทำอะไรไม่ได้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้ย้อนถามว่า นายสมศักดิ์เสนออะไรบ้าง เห็นเสนอหลายอย่างมาก แก่งเสือเต้นก็จะเอา แต่ข้อเสนอที่ว่า ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมืองนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญบังคับอยู่แล้วว่าต้องสังกัดพรรคการเมือง ถ้านายสมศักดิ์พูดอย่างนี้เมื่อสัก 10 เดือนที่ผ่านมาคงได้ แต่ตอนนี้มันไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว
“ผมไม่ตอบหรอกว่าเป็นแนวคิดย้อนหลังหรือถอยหลังหรือไม่ อาจเป็นแนวคิดที่ดีก็ได้ แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนอย่างนี้แล้ว และมาตรา 44 จะไปแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ จำไว้ด้วย ถ้าจะทำอย่างที่นายสมศักดิ์พูด ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ ไม่มีใครบอกว่าเป็นความคิดที่ถอยหลังหรือย้อนยุคนะ แต่เป็นความคิดที่นำหน้ามานาน สมัยก่อนผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนายอมร จันทรสมบูรณ์ เคยเสนอแบบนี้ แต่เมื่อมันตกไปแล้วตั้งแต่ตอนร่าง มันไม่ต้องมาพูดอะไรอีกแล้วในตอนนี้ ท่านพูดช้าไปปีหนึ่ง มาพูดตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่ต้องมาพูดกันแล้ว และไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ นอกจากร่างรัฐธรรมนูญใหม่” นายวิษณุกล่าว
นายวิษณุย้ำว่า เรื่องนี้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มีการคิดกันและพูดกันมาแล้ว มีการชั่งน้ำหนักแล้วระหว่างสังกัดและไม่สังกัดพรรค ซึ่งได้ข้อสรุปว่าสังกัดพรรคดีกว่า เพราะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง และสุดท้ายอาจซื้อตัวกันทำให้การเมืองไม่เรียบร้อย นี่คือสิ่งที่พูดกันมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณแล้ว แต่ก็ไม่แปลกที่จะมีการเสนอมาใหม่ตอนนี้ นักวิชาการหลายคนยังเสนอว่าไม่ควรสังกัดพรรค แต่เป็นการเสนอให้สังคมรู้สึกว่าไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้
นายวิษณุยังกล่าวถึงข้อเสนอของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป ที่เสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 เพื่อรีเซตพรรคการเมืองให้เกิดความเท่าเทียมกันว่า ยังมองไม่ออก เพราะมันสามารถดำเนินการได้ 2 ทาง คือถ้าแก้โดยใช้มาตรา 44 ตรงนี้เป็นเรื่องของ คสช. ซึ่งยังไม่ได้รับมอบหมายใดๆ ทั้งสิ้น หรืออีกทางแก้โดยสภา ตรงนี้จะเป็นเรื่องของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่จะดำเนินการกันเอง รัฐบาลไม่เกี่ยว เพราะตามรัฐธรรมนูญระบุว่า การแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ครม.ขอแก้เองไม่ได้ ต้องเป็นเรื่อง สนช. โดยใช้เสียง 1 ใน 10 คือ 25 คนที่ต้องเสนอ แต่จะแก้อะไรและอย่างไร ไม่ทราบ
ย้ำมี 3 แนวทางแก้
นายวิษณุกล่าวว่า ประเด็นสำคัญวันนี้เรารู้อยู่แล้วว่ามีกรณีที่เป็นเงื่อนเวลาที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองในบทเฉพาะกาลว่าต้องทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ภายในเวลา 90 วัน หรือ 180 วัน ถ้าไม่ทำแล้วจะเสียสิทธิ ดังนั้นถ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา มันต้องมีวิธีแก้ปัญหา ซึ่งเคยบอกแล้วว่า วิธีแก้ปัญหาทางที่หนึ่งคือปลดล็อก และทางที่สองคือแก้ไขกฎหมาย การแก้ไขกฎหมายทำได้ 3 อย่างคือ แก้ด้วยการออกมาตรา 44 2.แก้ด้วยการออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) และ 3.แก้โดยเสนอขอแก้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
เมื่อถามว่า เป็นห่วงกันว่าถ้าแก้แล้วจะส่งผลทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป นายวิษณุกล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ และรัฐบาลไม่ได้คุยกัน ส่วน คสช.จะคุยหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะไม่ได้เป็นสมาชิก คสช. และเมื่อถามย้ำว่า มองกันว่าเป็นการส่งสัญญาณจาก คสช.ที่ต้องการให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป หรืออาจไม่มีการเลือกตั้ง นายวิษณุตอบว่า ไม่ทราบ พูดยาก เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้อยู่แล้วว่าอย่างไรต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หากไม่มีการเลือกตั้งแล้วจะทำอย่างไรกับรัฐธรรมนูญ แต่หากจะแก้รัฐธรรมนูญตามที่เสนอกัน ถ้าอย่างนั้นเรื่องใหญ่มาก ใหญ่จนเป็นไปไม่ได้
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงข้อเสนอนายสมศักดิ์ว่า ได้ฟังข่าวดังกล่าวด้วยความปวดใจยิ่ง เพราะเรื่องเป็นเรื่องการแก้ไขโครงสร้างทางการเมืองที่เป็นสาระสำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ไปแล้วเมื่อ 6 เม.ย.2560 ซึ่งรัฐธรรมนูญระบุให้มี ส.ส.เขต 350 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน และให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว นำคะแนนของทุกบัตรมาคำนวณ ส.ส.ที่พึงมีทั้งหมด
นายสมชัยกล่าวต่อว่า หากแก้ไขหลักการดังกล่าว เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายมาตรา และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในส่วนสาระสำคัญอีกอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. โดยแต่ละฉบับมีหลายมาตราที่เกี่ยวข้อง และต้องอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงประชามติจากประชาชนมาแล้ว เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2559 การเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ เป็นสิ่งที่สมควรขอความคิดเห็นจากประชาชนทั้งประเทศด้วยการทำประชามติอีกครั้งหรือไม่
นายสมชัยย้ำว่า การกลับไปใช้ ส.ส.เขต 400 คน ไม่สังกัดพรรค จะนำไปสู่การเมืองไทยในยุค 30-40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นการใช้เงินจำนวนมากกว้านซื้อ ส.ส.เพื่อให้ได้เสียงมาสนับสนุนหรือไม่ การไปแจกเงินในห้องน้ำสภาก่อนโหวตจะกลับมาอีกหรือไม่ ประกอบกับการไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้วหลักการที่ออกแบบมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ต้องการให้คนดีมีความสามารถแต่ไม่ถนัดในการลงพื้นที่หาเสียงแบบ ส.ส.เขต. ไม่มีเงินพอที่จะไปช่วยงานบวช งานแต่ง ไม่มีเงินซื้อหรีดงานศพส่งทุกวัด ทุกคืนในเขตเลือกตั้งของตนเข้าสู่การเมืองหรือไม่
“การออกแบบรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกเดินหน้ามาไกลเหมือนจะไปเชียงใหม่ ตอนนี้มาถึงลำปางแล้ว ข้อเสนอของนักการเมืองใหญ่รายนี้ เปรียบเหมือนให้กลับไปกรุงเทพฯ และมาคิดใหม่ว่าจะไปทิศไหนดี หากมีการแก้ไขตามที่เสนอโดยผู้มีอำนาจจริง ผมขอเสนอว่า กรธ.ควรแสดงสปิริตด้วยการลาออกยกคณะ เพราะแสดงถึงว่าการร่างกฎหมายทั้งหมดที่ผ่านมาไม่สามารถดีเทียบเท่าความคิดของนักการเมืองใหญ่ท่านนี้เพียงคนเดียว และเสนอออกมาในช่วงแวบเดียวเท่านั้น” นายสมชัยกล่าว
พาเหรดอัด'เรียงหิน'
ด้านความเห็นจากนักการเมืองนั้น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า เป็นแนวคิดย้อนยุค และก่อปัญหาต่อพัฒนาการทางการเมืองมากกว่า เพราะการที่ ส.ส.สังกัดพรรคการเมืองนั้น ทำให้การดำเนินการของนักการเมืองเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งเป็นเรื่องการส่งเสริมให้พรรคการเมืองซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองมีความเข้มแข็ง ต่างจากการให้ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคที่จะเน้นไปที่ตัวบุคคลมากกว่า
“ความขัดแย้งที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากเรื่องพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ลุแก่อำนาจ เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงมีการแสดงความไม่เห็นด้วยในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นสมมติฐานที่ระบุว่าความขัดแย้งมาจากพรรค แล้วให้ไปใช้ ส.ส.อิสระทั้งหมดไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”นายองอาจระบุ
นายองอาจชี้ว่า การจะให้เลือกตั้ง ส.ส. 400 คนไม่สังกัดพรรคนั้น ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอีกรอบ ซึ่งอาจจะก่อโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เพราะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็น และการทำประชามติกันอีก ซึ่งใช้เวลานาน จะยิ่งทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปอีกอย่างไม่มีกำหนด ทำให้ไม่ได้รัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนเข้ามาแก้ไขปัญหา แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวจะมาจากความปรารถนาดี แต่ก็ไม่ควรทำตาม
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวเช่นกันว่า ในขณะร่างรัฐธรรมนูญมีการถกเถียงจนตกผลึกแล้วว่าระบอบประชาธิปไตยจะเดินไปได้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค และในอดีตก็เห็นความล้มเหลวของระบบรัฐสภาที่ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคมาแล้ว รัฐบาลอยู่ยาก การกำหนดนโยบายแต่ละเรื่องทำไม่ได้เลย เมื่อสิ่งนี้ตกผลึกไปแล้วกลับมารื้อฟื้นใหม่ แสดงให้เห็นถึงความไม่มีหลักการของคนที่คิดเรื่องนี้ ส่วนประเด็นเรื่อง ส.ส.เขต 400 คนก็ตกผลึกแล้วเช่นกัน ว่าการที่เอาระบบสัดส่วนผสมมา เพราะไม่ต้องการให้คะแนนตกน้ำ ทำให้ทุกคะแนนมีความหมาย ข้อเสนอเรื่อง 400 คน 400 เขตเป็นระบบเก่า ซึ่งรัฐธรรมนูญผ่านการประชามติมาแล้ว
“อย่าทำให้เป็นปัญหาอีกเลย และหากมีการเสนอเรื่องนี้แล้ว สนช.รับลูก ถ้าสมมติว่าผมไปเสนอบ้างว่ารัฐธรรมนูญมาจากประชามติ ขอให้คงไว้ ไม่ขอให้แก้ไข สนช.จะรับลูกหรือไม่” นายนิพิฏฐ์ตั้งข้อสังเกต
นายนิพิฏฐ์ยังกล่าวถึงข้อเสนอนายสมศักดิ์ที่ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ไขว่า รัฐธรรมนูญใหญ่กว่าอำนาจตามมาตรา 44 เพราะผ่านการทำประชามติ ในขณะที่มาตรา 44 เป็นอำนาจของบุคคลคนเดียว จึงไม่อยากให้ทำเรื่องนี้ให้เป็นปัญหา และหากจะแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องไปทำประชามติ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้รัฐธรรมนูญเลยจะดีหรือไม่ ใช้มาตรา 44 เพียงอย่างเดียว จึงอยากให้ผู้มีอำนาจอยู่บนหลักการ อย่าโลเล กลับไปกลับมา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน
นายนิพิฏฐ์ระบุว่า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทั้งเรื่องการเสนอแก้กฎหมายพรรคการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นทฤษฎีสมคบคิดเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งหรือไม่ให้มีการเลือกตั้ง โดยมีการคิดเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว จึงมีการรับลูกแบบแบ่งหน้าที่กันทำ เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจมีอิทธิพลในบ้านเมืองคิด ซึ่งนายวิษณุก็ออกมาระบุว่าจะนำเรื่องแก้กฎหมายพรรคการเมืองเข้าสู่ที่ประชุม คสช. สะท้อนว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่คิดกันมาแล้วว่าใครทำหน้าที่อะไร เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ
เชื่อแผนเลื่อนเลือกตั้ง
“จากข้อเท็จจริงทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้คิดเช่นนั้น เพราะกฎหมายเลือกตั้งส.ส.ที่ สนช.รับหลักการวาระที่ 1 ไปแล้วนั้น เป็นกฎหมายพวงใน 4 ฉบับที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง เช่นเดียวกับกฎหมายพรรคการเมือง เพราะเป็นกฎหมายชุดที่ต้องเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจะขัดแย้งกันไม่ได้ หากมีการแก้กฎหมายพรรคการเมืองในขณะที่กำลังพิจารณากฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ก็จะกระทบกับกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.จนอาจนำไปสู่การคว่ำกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ผมคิดว่าออกสูตรนั้นแน่นอน และเชื่อว่าผู้มีอำนาจจะเดินไปถึงจุดนั้น เพราะข้อเท็จจริงที่ออกมาไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากการเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่มีเลือกตั้ง ผมไม่เรียกร้องให้ปลดล็อกหรือให้เลือกตั้ง แต่ขออวยพรให้คุณประยุทธ์ คุณประวิตร อยู่ไปจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร อยู่จนถือไม้เท้ากลับบ้าน เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้ และผู้มีอำนาจก็จะได้มีบทเรียนด้วยว่า ท่านกำลังอยู่ตรงไหน และความพอดีอยู่ตรงไหน” นายนิพิฏฐ์กล่าว
ส่วนนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า การที่นายไพบูลย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เสนอแก้ไขกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง ประกอบกับการที่นายสมศักดิ์เสนอให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง ดูแล้วเหมือนเป็นความพยายามที่สอดคล้องกันให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ อีกสมัย แต่ต่างรู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง พรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีทางมี ส.ส.ได้มากกว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ นายสมศักดิ์ที่เป็นนักการเมืองมานานรู้ดี จึงเสนอให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค
“เป็นการก้าวถอยหลัง เพราะประเทศไทยเคยใช้ระบบนี้มาก่อนจนมีภาพโสเภณีเต็มสภา ที่การขายตัวรวมกลุ่มกันแลกตำแหน่งรัฐมนตรี จนต้องมีพรรคการเมืองมาควบคุม สังคมจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นหรือ และวันนี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่ ก็เหมือนหาเสียงไปในตัว ถือว่าได้เปรียบพรรคการเมืองอยู่แล้ว หากจะปรับกติกาให้เข้าทางตัวเองอีก ถ้าได้เป็นนายกฯ อีกครั้ง จะกล้าพูดเต็มปากว่าเข้ามาอย่างสง่างามหรือไม่” นายวรชัยกล่าว.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |