ธ.ก.ส. อวดผลงาน 11 โครงการรัฐ อุ้มเกษตรกรรายได้พุ่ง


เพิ่มเพื่อน    

 

13 เม.ย. 2562 นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงผลการประเมินทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ได้จัดทำร่วมกับ สถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยประเมินจาก 11 โครงการ ระหว่างปี 2559-2561 จากกลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกร สหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตร รวมทั้งสิ้น 1.22 พันตัวอย่าง พบว่า การดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐของ ธ.ก.ส. ประสบความสำเร็จอย่างมากทางด้านเศรษฐกิจ

โดยในภาพรวม เกษตรกร สหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตร หลังจากการเข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้น 26.49% โดยเกษตรกร มีรายได้เฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้น 5.12 พันบาทต่อราย ส่วนสหกรณ์การเกษตร มีรายได้ต่อปีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15.72 ล้านบาทต่อแห่ง และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตร มีรายได้ต่อปีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.46 ล้านบาทต่อราย มีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น 21.83% คุณภาพผลผลิตดีขึ้น 2.86%มีทักษะในการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น 9.16% ต้นทุนการผลิตลดลง5.07% มีช่องทางการตลาดและจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 1.23% มีอำนาจในการต่อรองทางการตลาดเพิ่มขึ้น 2.94% มีแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 2.86% รวมทั้งมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.13%

นอกจากนี้ ยังส่งผลเชิงบวกด้านสังคม โดยภาพรวมหลังจากเข้าร่วมโครงการ เกษตรกร สหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตร มีโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินของรัฐเพิ่มสูงขึ้น 23.71% เข้าถึงความรู้ทางการเงินเพิ่มมากขึ้น 22.24% และมีสุขภาพและสุขอนามัยที่ดีขึ้น 4.09% ในส่วนของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติ รูปแบบการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีโอกาสใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

ด้านผลการประเมินบทบาทต่อการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) และประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-efficiency) โดยวิเคราะห์ผ่านตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Table) พบว่า การขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ของ ธ.ก.ส. สามารถสร้างผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment: SROI) เท่ากับ 1.48 ถึง 1.85 ส่วนในด้านเศรษฐกิจ การจ่ายเงินกู้ในปีบัญชี 2560 มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า2.57แสนล้านบาท สามารถสร้างผลประโยชน์ได้รวมทั้งสิ้น 3.8 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรและธุรกิจแปรรูปการเกษตรที่ ธ.ก.ส. ให้สินเชื่อ อาทิ การทำไร่อ้อย การทำข้าวโพด การทำนา รวมทั้งธุรกิจภายในประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรมและธุรกิจการแปรรูปการเกษตร อาทิ ปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน เท่ากับ 1.48 หรือการจ่ายเงินกู้ของ ธ.ก.ส. มูลค่า 1 บาท สามารถสร้างประโยชน์สู่สังคมคิดเป็นมูลค่า 1.48 บาท

สำหรับด้านสังคม การจัดสรรเงินลงทุนด้านพัฒนาชุมชน ปี 2556-2558 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 518 ล้านบาท สามารถสร้างผลประโยชน์ได้รวมทั้งสิ้น 764 ล้านบาท โดยผลประโยชน์จะเกี่ยวข้องกับการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในชุมชนและสร้างวินัยทางการเงิน รวมทั้งเกี่ยวกับการรวมกลุ่มอาชีพหรือกลุ่มการเงินและเครือข่ายในชุมชนเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน เท่ากับ 1.48 หรือเงินลงทุนด้านพัฒนาชุมชน มูลค่า 1 บาท สามารถสร้างประโยชน์สู่สังคมคิดเป็นมูลค่า 1.48 บาท

ในด้านสิ่งแวดล้อม การจัดสรรเงินลงทุนด้านพัฒนาสิ่งแวดล้อม ปี 2556-2558 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 762 ล้านบาท สามารถสร้างผลประโยชน์ได้รวมทั้งสิ้น 1.4 พันล้านบาท โดยผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการสร้างมูลค่าของทรัพย์สินจากต้นไม้ที่ปลูก การมีแหล่งน้ำใช้ทำการเกษตร รวมทั้งการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน เท่ากับ 1.85 หรือเงินลงทุนด้านพัฒนาสิ่งแวดล้อม มูลค่า 1 บาท สามารถสร้างประโยชน์สู่สังคมคิดเป็นมูลค่า 1.85 บาท

“โครงการของ ธ.ก.ส. ในการสร้างความยั่งยืนและประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ โครงการธนาคารต้นไม้ โครงการสร้างฝายชะลอน้ำให้ชุมชนทั่วประเทศ โครงการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และโครงการพัฒนาส่งเสริมศักยภาพชุมชนต้นแบบตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับสู่ชุมชนอุดมสุข” นายสมเกียรติ กล่าว
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"