ศาลไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
“ศาลเองไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เมื่อกฎหมายบัญญัติให้ศาลทำหน้าที่ในส่วนใด เราก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย การจะพิจารณาว่าเรื่องไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม การนำองค์กรศาลไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินไปหรือไม่ เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ และเป็นเรื่องของสังคมที่ควรจะต้องบอกด้วยว่าเรื่องไหนควรไม่ควรอย่างไร”
เป็นคำกล่าวของ สราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งปัจจุบันนอกจากการเป็นเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมแล้ว ยังมีบทบาทภารกิจสำคัญในงานด้านการปฏิรูปประเทศและการวางยุทธศาสตร์ชาติ เห็นได้จากที่ตอนนี้ร่วมเป็นกรรมการด้านดังกล่าว 3 คณะ ประกอบด้วย
1.กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ที่มีนายอัชพร จารุจินดา กรรมการร่างรัฐธรรมนูญและอดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นประธาน
2.กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) หรือกรรมการปฏิรูปตำรวจ ที่มีพลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน
3.กรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ขอบเขต โครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ การพัฒนาบุคลากรภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ การพัฒนากระบวนการยุติธรรม (ตํารวจ อัยการ ศาล ทนายความ ราชทัณฑ์) การอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน มีนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน
คำกล่าวที่ว่า ศาลไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้างต้นเกิดขึ้นหลังตั้งคำถาม สราวุธ-เลขาธิการศาลยุติธรรม เพื่อขอความเห็นกรณีบทบาทศาลในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่มีบางมาตรา ถูกมองว่าเป็นการดึงศาลไปเกี่ยวข้องกับการเมืองมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เช่นมาตรา 235 ที่ให้ศาลฎีกาทำหน้าที่ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแทนวุฒิสภา หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติในยุคปัจจุบัน คำถามดังกล่าว เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า เรื่องศาลกับการเมืองบางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายกำหนดไว้ ศาลไม่ได้เป็นฝ่ายออกกฎหมายแต่ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ออกกฎหมาย เมื่อกฎหมายบัญญัติให้เราทำหน้าที่ เราก็ต้องทำหน้าที่ตรงนั้น แต่การที่จะออกแบบให้ศาลเกี่ยวข้องกับการเมืองมากน้อยเพียงใด ผมเห็นว่าอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติในการวางระบบถ่วงดุล จะให้ฝ่ายไหนเป็นผู้ถอดถอน จะให้ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายศาลมาทำหน้าที่ตรวจสอบถอดถอนได้ด้วย
“ตรงนี้ศาลเองไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เมื่อกฎหมายบัญญัติให้ศาลทำหน้าที่ในส่วนใด เราก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย การจะพิจารณาว่าเรื่องไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม การนำองค์กรศาลไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินไปหรือไม่เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ และเป็นเรื่องของสังคมที่ควรจะต้องบอกด้วยว่าเรื่องไหนควรไม่ควรอย่างไร”
...ทุกครั้งที่มีการพิจารณาเรื่องนี้เราก็จะมีความเห็น มีจุดยืนของศาลอยู่เสมอว่าเราก็ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง บทบาทของศาลในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีหรือชี้ขาดข้อพิพาท ถ้าเป็นเรื่องเหล่านี้เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา แต่บางครั้งมันก็หลีกหนีไม่พ้น
อย่างเช่นนักการเมือง ถ้าทำความผิดทางอาญาก็เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการพิจารณาคดีโดยตรง แต่ระบบที่จะให้ศาลใดเป็นผู้พิจารณาคดี ก็อยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติว่าจะให้ศาลยุติธรรมปกติพิจารณา หรือจะสร้างศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นมาพิจารณาคดี
- ประเด็นที่คนเป็นห่วง เช่นการให้ประธานศาลฎีกามาเป็นประธานคณะกรรมการสรรหาองค์กรอิสระ ที่อาจทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเมื่อมีการเลือกองค์กรอิสระแต่ละแห่ง?
ประเด็นเหล่านี้ก็พูดคุยกันมามากแล้ว ตั้งแต่ตอนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 สิ่งที่เกิดกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่ผมขอบอกว่าศาลเองไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง แต่ว่าเมื่อกฎหมายกำหนดไว้ก็ต้องปฏิบัติ
การที่สังคมต้องการเห็นว่าบทบาทของศาลควรเข้าไปทำเรื่องใดมากน้อยแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของสังคมโดยรวมของประเทศที่ต้องบอกความต้องการ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ควรต้องพิจารณาว่าจะกำหนดบทบาทของศาลอย่างไรให้สมดุล เพื่อให้ศาลมีความเป็นกลางในการทำหน้าที่ เพราะศาลก็ต้องทำตามกฎหมาย ศาลเป็นผู้ใช้กฎหมายไม่สามารถฝ่าฝืนกฎหมายได้
...ยกตัวอย่างเช่นบางเรื่องหากมีการกระทำความผิด แล้วกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท ศาลก็ไม่สามารถจะไปตัดสินให้ปรับน้อยกว่าที่กฎหมายเขียนไว้ได้ ในเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติเขียนกฎหมายออกมาแล้วมีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย การตัดสินลงโทษปรับอย่างต่ำก็ต้องห้าแสนบาทตามกฎหมาย ศาลจะไปทำผิดกฎหมายไม่ได้ จะไปตัดสินลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะเปิดช่องไว้ให้ศาลใช้ดุลยพินิจ กระบวนการทั้งหมดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย เราไม่สามารถฝ่าฝืนกฎหมายได้
กับทัศนะของ เลขาธิการศาลยุติธรรม ที่เป็นกรรมการปฏิรูปสองคณะและกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ ถึงเรื่องที่กระแสสังคมสนับสนุนให้แต่ละองค์กรต้องปฏิรูป ในส่วนของศาลยุติธรรม พร้อมจะปฏิรูปตัวเองหรือไม่ เรื่องนี้ สราวุธ-กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่าศาลพร้อมจะปฏิรูป การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่การปฏิรูปเราก็ต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานและภาคประชาชนด้วย
การปฏิรูปผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะการปฏิรูปก็บอกในตัวเองอยู่แล้วว่าต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น องค์กรศาลเองก็พร้อมที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อทำให้ดีขึ้นทั้งในส่วนขององค์กรศาลเองและภาคประชาชนด้วย
ถามว่าแต่ที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีการพูดหรือมีข้อเสนอการปฏิรูปศาลอย่างจริงจัง สราวุธ-เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวตอบว่า คณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งในกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติก็เขียนไว้ชัดเจน และในรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ในมาตรา 258 ที่บัญญัติในเรื่องกรอบการปฏิรูปด้านกระบวนการยุติธรรม เช่น การกําหนดระยะเวลาดําเนินงานในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า และมีกลไกช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ รวมตลอดทั้งการสร้างกลไกเพื่อให้มีการบังคับตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม
...เพียงแต่ไฮไลต์มาอยู่ที่การปฏิรูปตำรวจเพราะตำรวจใกล้ชิดกับประชาชน ซึ่งเรื่องการปฏิรูปศาล ก็อยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ทางกรรมการเราเวลาจะพิจารณาศึกษาทำเรื่องนี้ก็ดูจากหลายส่วน เช่นงานวิจัยต่างๆ ไม่ใช่ว่าไปคิดกันเอาเอง เพราะต้องทำโดยมีข้อมูลครบถ้วน มีการศึกษาวิจัยออกมาแล้วว่าข้อเสนอต่างๆ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาได้จริง
การทำงานตรงนี้ส่วนสำคัญก็คือการรับฟังความคิดเห็น เพราะกรรมการปฏิรูปก็ต้องรับฟังคนอื่นด้วยว่าเขามีความเห็นเรื่องแนวทางการปฏิรูปอย่างไร ต้องถามฝ่ายปฏิบัติด้วยว่าหากทำแล้วจะทำได้หรือไม่ ทำแล้วจะมีปัญหาตรงไหน การทำเรื่องพวกนี้มันต้องรอบคอบ
- ปัญหาสำคัญของกระบวนการยุติธรรมอยู่ที่ส่วนไหน ต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ?
ผมว่าก็ต้องทุกภาคส่วน ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนต้นจนถึงจบ คือทั้งตำรวจ ทนายความ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ ทุกองคาพยพมีความสำคัญหมด หากติดปัญหาตรงจุดใดจุดหนึ่งมันก็เป็นปัญหาหมด ผมว่าปัญหาสำคัญอันหนึ่งก็คือเรื่องวัฒนธรรมองค์กร เพราะในการปฏิรูป การจะเปลี่ยนแปลงเรื่องการสร้างวิธีคิดของคน เรื่องวัฒนธรรมองค์กร เป็นเรื่องที่ดีที่ต้องเปลี่ยนแปลง
- แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝ่ายที่ต้องการเห็นการปฏิรูปก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลง จากสาเหตุต่างๆ เช่นไม่อยากให้เกิดผลกระทบต้องสูญเสียอำนาจ?
ตรงนี้ถึงได้บอกว่าหากทุกฝ่ายยึดอำนาจ ยึดบริบทของตัวเอง มันก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตรงนี้เราก็ต้องไปดูก่อนว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรเพื่อปรับปรุงทำให้มันดีขึ้น นั่นคือการปฏิรูป (Reform) ในต่างประเทศก็เหมือนกัน หลายส่วนหลายองค์กรถูกกระทบเพราะว่าไปเปลี่ยนแปลงบทบาทอำนาจหน้าที่ของเขา แต่ต้องถามก่อนว่าสิ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทำแล้วมันดีขึ้นหรือไม่ มีเหตุมีผลอย่างไรในการเปลี่ยนแปลง
ผมคิดว่าการเสนอให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง ถ้าทำแล้วมันดีขึ้น มันพิสูจน์ได้มีข้อมูลยืนยันได้ว่าทำแล้วมันจะดีขึ้น สังคมก็ต้องเป็นผู้ตัดสินว่าจะเอาด้วยหรือไม่เอาด้วย เพราะกระบวนการปฏิรูปท้ายที่สุดก็ต้องไปอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติในการเห็นชอบแผนปฏิรูป หลังจากผ่านจากคณะรัฐมนตรี
ถามถึงเรื่องการปฏิรูปตำรวจกรณีข้อเสนอจากอนุกรรมการ เช่นการให้ปรับโครงสร้างระบบการสอบสวน โดยเสนอแนวทางให้พนักงานอัยการเข้าไปมีส่วนร่วมในการสอบสวนคดีสำคัญตั้งแต่เริ่มแรก แต่มีบางฝ่ายไม่เห็นด้วย เช่นคนในกรรมการปฏิรูปตำรวจด้วยกันเองที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ สราวุธ-กรรมการปฏิรูปตำรวจ กล่าวว่า บางเรื่องถ้าถึงเวลาก็ต้องมาดูกันที่เหตุผลเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไปดูว่าใครจะยอมหรือใครไม่ยอม ต้องดูภาพรวมของประเทศว่าจะทำกันอย่างไร จะยึดความเห็นเฉพาะในองค์กรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องส่วนรวมและกระทบประชาชนด้วย
สำหรับขั้นตอนการนำแผนปฏิรูปแต่ละด้านไปร่วมเขียนแผนยุทธศาสตร์ชาติ ขั้นตอนจะเริ่มจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะกำหนดเป้าหมายของยุทธศาสตร์ประเทศก่อนว่าจะเดินไปในทิศทางอย่างไร มียุทธศาสตร์มีเป้าหมายอย่างไรบ้าง เช่นต้องการให้ประชาชนมีรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ก็คือกำหนดเป้าหมายใหญ่ขึ้นมาก่อน จากนั้นกรรมการปฏิรูปแต่ละชุดก็ต้องไปเขียนแผนปฏิรูปว่า เป้าหมายที่กรรมการยุทธศาสตร์ชาติเขียนไว้จะมีวิธีการเดินไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไรบ้าง เช่นเป้าหมายยุทธศาสตร์ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำจะมีวิธีการอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่นในแผนปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ตอนนี้ก็มีการกำหนดแนวทางไว้หลายเรื่อง เช่นเรื่องคดีทางแพ่ง คดีอาญา งานด้านนิติวิทยาศาสตร์จะต้องมีการปรับปรุงกันอย่างไร คือแผนงานปฏิรูปแต่ละชุดจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
โดยกรรมการเขียนแผนยุทธศาสตร์ชาติแต่ละชุดที่มีด้วยกัน 6 ชุด ก็จะไปทำหน้าที่เขียนแผนยุทธศาสตร์ชาติภายในระยะเวลาไม่เกิน 120 วัน ยกตัวอย่างคณะกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติชุดที่ผมเป็นกรรมการ ก็จะมีการไปรับฟังความคิดเห็น ไปรวบรวมความเห็นจากฝ่ายต่างๆ ที่เคยมีการทำกันมาก่อนหน้านี้ จากนั้นก็นำมาสู่การเขียนแผนยุทธศาสตร์ชาติ และเมื่อเขียนแผนยุทธศาสตร์ชาติเสร็จแล้วก็นำไปเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติชุดใหญ่ต่อไป
ถามต่อไปว่าสังคมคาดหวังการปฏิรูปตำรวจไว้มาก แต่ปรากฏข่าวว่าในกรรมการปฏิรูปตำรวจเองมีความเห็นไม่ตรงกัน สราวุธ-กรรมการปฏิรูปตำรวจ ให้ความเห็นว่า ผมว่าความเห็นขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา คนเราไม่ต้องเห็นตรงกัน แต่วิธีการแก้ปัญหา การตัดสินใจต่างๆ ก็ต้องใช้เสียงข้างมาก เมื่อที่ประชุมเสียงข้างมากเห็นอย่างไรก็ต้องเดินหน้า โดยสิ่งสำคัญคือความมีเหตุมีผลของเสียงข้างมากต่อมติที่ออกมาต้องมีเหตุผลรองรับ
ท้ายที่สุดสิ่งสำคัญคือ ต้องดูว่าประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะประชาชนคาดหวังไว้มากกับการปฏิรูปตำรวจ ก็อย่างที่บอกตำรวจใกล้ชิดประชาชน แล้วใช้อำนาจต่างๆ มีทั้งกฎหมาย มีทั้งปืน อาวุธ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ
- ในฐานะเป็นกรรมการปฏิรูปตำรวจโดยตำแหน่ง คิดว่าหัวใจสำคัญของการปฏิรูปตำรวจคืออะไร?
หัวใจสำคัญก็คือประชาชนได้รับบริการ ได้รับการอำนวยความยุติธรรม การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพจากตำรวจ ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ไม่มีการเลือกปฏิบัติ มีความเป็นธรรม นั่นคือเป้าหมายสำคัญ
อย่างที่เราเถียงกันเรื่องงานสอบสวน เป้าหมายสุดท้ายก็คือประชาชนจะได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนหรือไม่ มีประสิทธิภาพหรือไม่ สิ่งนี้คือคำถามที่ถามว่าวิธีที่ทำอยู่ปัจจุบันดีอยู่แล้วใช่หรือไม่ และควรต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ แล้วหากปรับปรุงแก้ไขจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
- ที่ผ่านมาองค์กรตำรวจมีข่าวบ่อยเรื่องการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง?
ผมถึงบอกว่าวัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องนี้เป็นปัจจัยอันหนึ่งที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยว่า เสริมสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม คือคนก็รู้ปัญหาอยู่ว่ามันคืออะไรและเห็นถึงปัญหาที่ตรงกัน แต่วิธีแก้ปัญหายังเห็นต่างกัน คนหนึ่งบอกว่าควรแก้ด้วยวิธีการแบบนี้จะเป็นเรื่องดี แต่บางคนก็อาจบอกว่าไม่ต้องแก้ไขเพราะมันดีอยู่แล้ว ก็อาจจะมีเหมือนกัน
- ปัญหาหลักของตำรวจที่กรรมการเห็นตรงกันอยู่ตอนนี้?
ก็เรื่องงานสอบสวนที่ยังมีการเถียงกันอยู่เยอะ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่างานสอบสวนควรให้อัยการเข้ามามีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง หรือจะให้อัยการทำอย่างไร รวมถึงเรื่องการแต่งตั้ง การบริหารงานบุคคลตำรวจ ซึ่งเรื่องนี้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 258 ก็เขียนไว้ รวมถึงเรื่องอำนาจหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดูว่าภารกิจไหนควรเป็นของตำรวจ ภารกิจอะไรที่ไม่ใช่ จะปรับอย่างไรให้เหมาะสม เช่น ตำรวจป่าไม้ ตำรวจรถไฟ ตำรวจควรจะทำหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ก็จะตอบคำถามในเรื่องภารกิจหน้าที่ของตำรวจว่า ตำรวจควรทำหรือไม่ควรทำอะไร หรือเรื่องการบริหารงานบุคคลที่ถาม เรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย การวิ่งเต้น การซื้อตำแหน่งจะแก้ไขอย่างไร
ประเด็นมันมีอยู่แล้วว่าการแต่งตั้งโยกย้ายต้องคำนึงถึงเรื่องความอาวุโส ความรู้ความสามารถ แต่สิ่งที่สังคมอยากเห็นก็คือ อย่าให้มีการเล่นพรรคเล่นพวกกันในการแต่งตั้ง ซึ่งผมว่าไม่ใช่เฉพาะตำรวจแค่ทุกหน่วยงาน
- คิดว่าแล้วจะแก้ไขปัญหาของตำรวจได้หรือไม่ ?
ผมว่าปัญหาทุกอย่างมันแก้ได้ถ้าหากจะแก้ไข หากว่าทุกคนมีความจริงใจที่อยากจะแก้ไข และเรื่องที่คนต้องการเห็นพนักงานสอบสวนทำงานได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหรืออำนาจอิทธิพลจากภายนอก เรื่องนี้ก็สำคัญ เพราะบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมหากถูกแทรกแซงได้ ไม่เป็นอิสระ ก็จะกระทบต่อความเป็นธรรม ความยุติธรรมก็จะไม่เกิด
แล้วหากจะทำให้งานสอบสวนมีความเป็นธรรมความยุติธรรมเกิดขึ้นจริงควรต้องปฏิรูปอย่างไร มีข้อเสนอให้แยกงานสอบสวนออกจากงานสืบสวนไปเลย มีความเห็นอย่างไร สราวุธ-กรรมการปฏิรูปตำรวจ ให้ความเห็นว่าก็มีหลายรูปแบบแต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าผมเห็นด้วยกับวิธีการไหน เพราะก็มีหลายวิธีการในการปรับปรุง แต่การจะตัดสินใจเลือกแนวทางไหนต้องดูเรื่องความพร้อม ความเป็นไปได้ด้วย บางครั้งการเสนอแนวทางที่มันอาจดูดี แต่เวลาปฏิบัติจริงมันมีปัญหา มันก็ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเหมือนกัน เราต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงว่าเวลาปฏิบัติจะทำได้หรือไม่ จะมีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่
ถามย้ำว่าหากสุดท้ายการปฏิรูปตำรวจไม่เกิดขึ้นจะเกิดสิ่งใดตามมา สราวุธ-กรรมการปฏิรูปตำรวจ ระบุว่าประชาชนก็ไม่พอใจ อีกทั้งรัฐธรรมนูญก็บัญญัติแล้วว่าต้องทำ ซึ่งจากฟีดแบ็กจะเห็นได้ว่าประชาชนมีความคาดหวังมากกับการที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ผมก็เชื่อว่าตำรวจเขาก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่เขาก็ต้องการความเห็นจากภาคประชาสังคมว่าควรจะทำอย่างไร แต่ในส่วนของกรรมการเองก็คงจะได้เห็นข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมออกมา.
.................................
ศาลยุติธรรม กับไทยแลนด์ 4.0
สราวุธ-เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารงานศาลยุติธรรมต่อจากนี้ว่า แนวทางก็จะเป็นไปตามที่ท่านชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกาได้ให้นโยบายการบริหารงานศาลยุติธรรมกับผู้บริหารศาลยุติธรรมและสำนักงานศาลยุติธรรมก่อนหน้านี้ ที่จะมีด้วยกัน 4 ข้อ
เริ่มจากเรื่องแรกที่ให้นโยบายไว้ว่า ต้องดำเนินการให้ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นไปด้วยความรวดเร็วเป็นธรรมและปราศจากอคติ
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญในอดีตที่ผ่านมา การพิจารณาพิพากษาคดีระบบเดิมอาจจะมีความล่าช้าบ้าง เคยมีคำกล่าวกันว่า "ความล่าช้าในการพิจารณาคือการปฏิเสธความยุติธรรม" นโยบายท่านประธานศาลฎีกาจึงต้องการปรับปรุง เปลี่ยนระบบการทำงานให้มีความรวดเร็ว เป็นธรรม ปราศจากอคติทั้งปวง
กระบวนการต่างๆ หากเป็นระบบสากลก็คือ ต้องมีระบบการบริหารจัดการคดี case management ที่จะทำให้กระบวนการพิจารณาคดีมีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการบริหารจัดการภายใต้กฎหมายที่มีอยู่
จากนโยบายท่านประธานศาลฎีกาดังกล่าว จะทำให้ต่อไปนี้คดีที่คั่งค้างหรือใช้เวลานานก็จะลดลง โดยใช้การบริหารจัดการต่างๆ และก็มีการดำเนินการแก้ไขกฎหมาย โดย ณ ตอนนี้ระบบการพิจารณา ก็จะเริ่มปรับเป็นระบบสองชั้นศาล ขณะเดียวกันระบบอนุญาตให้ฎีกาก็จะดีขึ้น คือจะช่วยลดปริมาณคดี
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวต่อไปว่า จากสถิติคดีที่เข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมทั่วราชอาณาจักรในปี 2559 มีประมาณกว่า 1,700,000 คดี ถือว่าเยอะมาก โดยพบว่าศาลสามารถทำให้คดีต่างๆ แล้วเสร็จไปได้ภายในศาลชั้นต้น ภายในไม่เกินหนึ่งปีหรือหกเดือน คิดเป็นร้อยละ 80 ของจำนวนปริมาณคดีทั้งหมด
...สาเหตุที่การพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมเร็วขึ้นก็เพราะระบบการบริหารจัดการ เช่นการพิจารณาคดีอย่างต่อเนื่อง, การใช้ระบบการไกล่เกลี่ยประนีประนอมเข้ามาช่วย เพราะการพิจารณาคดีของศาลหากคู่ความสามารถเจรจาหรือตกลงกันได้ ศาลก็สามารถพิพากษาตามคำยินยอม เช่น คดีของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือ กยศ. ก็จะมีหลักฐานทางคดีชัดเจนหากมีช่องทาง เช่นฝ่ายโจทก์คือกองทุนมีการลดหย่อนดอกเบี้ย มีการตกลงกันได้ในเรื่องเงื่อนไขการผ่อนชำระ โดยหากคู่ความตกลงกันได้ศาลก็จะพิพากษาตามยอม ก็ทำให้กระบวนการพิจารณาคดีเร็วขึ้น รวมถึงในบางเรื่องข้อเท็จจริงยุติได้บนการให้ข้อมูลของคู่ความทั้งสองฝ่าย ก็ทำให้กระบวนการรวดเร็ว
ขณะเดียวกันการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ปัจจุบันก็เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก โดยหากมีการยื่นอุทธรณ์มา ศาลก็จะแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาไปได้เลย จะไม่มีคดีที่ค้างเกินหนึ่งปี
...หมายถึงว่าหากโจทก์หรือจำเลยยื่นอุทธรณ์มา ศาลก็นัดวันฟังคำพิพากษาเลย เช่นเดียวกับในชั้นศาลฎีกาก็ใช้เวลาพิจารณาลดลงจากเดิมไปเรื่อยๆ จากเดิมที่คดีอยู่ที่ศาลฎีกาเยอะ แต่ปัจจุบันก็ลดลง แต่ว่าปัญหาของศาลฎีกาส่วนหนึ่งก็คือ ภารกิจที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ศาลฎีกาต้องพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย ก็ทำให้ปริมาณคดีก็เยอะพอสมควร ในช่วงที่มีปัญหาต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาศาลก็ต้องทำหน้าที่ดังกล่าวด้วย
ถามถึงว่าหลังตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมถึงการที่ศาลอาญาเปิดแผนกคดีความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์และคดียาเสพติดขึ้นมาพิจารณาคดีเหล่านี้เป็นการเฉพาะ มีส่วนสำคัญทำให้คดีต่างๆ ลดลงได้หรือไม่ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า การที่มีศาลพิจารณาคดีเฉพาะขึ้นมาก็ทำให้การพิจารณาคดีรวดเร็วขึ้น เพราะมีกระบวนการพิจารณาคดีเฉพาะสำหรับคดีประเภทนั้นๆ ที่จะแตกต่างจากคดีทั่วไป อีกทั้งผู้พิพากษาที่จะไปทำหน้าที่ในศาลดังกล่าวก็จะมีความรู้ ประสบการณ์ในด้านนั้น และทำให้การพิจารณาคดีรวดเร็วขึ้นเพราะเป็นเรื่องเฉพาะทาง
ถามย้ำว่าศาลมีนโยบายจะทำให้เร็วขึ้นกว่านี้หรือไม่ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ย้ำในหลักการหนักแน่นว่า ความเร็วก็ต้องอยู่คู่กับความเป็นธรรมด้วย ทางท่านประธานศาลฎีกามีประสบการณ์ยาวนาน ท่านก็จะเห็นได้ว่าไม่ต้องไปสั่งว่าให้เสร็จภายในกี่วัน หลักก็คือต้องให้เป็นไปตามกฎหมาย และหลักความเป็นธรรมต้องไม่เสีย แต่ว่าสิ่งที่จะปรับปรุงได้ก็คือ ระบบการบริหารจัดการด้วยรูปแบบต่างๆ เพื่อลดขั้นตอนบางอย่างที่ทำให้เสียเวลาไม่มีความจำเป็น ก็จะทำให้การพิจารณาคดีรวดเร็วขึ้น
- ในต่างประเทศการพิจารณาคดีของศาลใช้เวลาเร็วมากน้อยแค่ไหน เช่นที่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ?
ทุกที่ระบบยุติธรรมในศาลก็มีทั้งช้าและเร็ว และบางคดีที่ค้างการพิจารณาอยู่ในศาลนาน ในสหรัฐอเมริกาในยุโรปเองก็มี ไม่ได้มีแค่ที่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ทุกประเทศก็พยายามจะเปลี่ยนแปลง พยายามพัฒนาให้ดีขึ้น เราก็เรียนรู้ซึ่งกันและกัน จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เหตุใดศาลยุติธรรมจึงต้องส่งผู้พิพากษาไปอบรมเรียนรู้ในต่างประเทศ ก็เพื่อให้ได้เรียนรู้ว่าในต่างประเทศเป็นอย่างไร แล้วก็นำสิ่งที่ได้มาพัฒนาในประเทศไทย
สราวุธ-เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาลยุติธรรมในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จ และเป็นที่พึงพอใจของคู่ความทั้งสองฝ่าย เพราะคดีความเมื่อศาลตัดสินก็ต้องมีคนแพ้ คนชนะคดี มีคนพอใจคนไม่พอใจ แต่หากเขาตกลงกันเอง ก็แสดงว่าเขาพึงพอใจในข้อตกลงนั้น ก็จะทำให้คดีลดลงในชั้นอุทธรณ์และฎีกาด้วย เพราะเมื่อคู่ความตกลงกันได้เขาก็จะไม่อุทธรณ์ไม่ฎีกา เช่นคดีหมิ่นประมาท หากคู่ความมีการขอโทษกันหรือตกลงกันได้ หาวิธีเยียวยา ถ้าตกลงกันได้คดีก็จะไม่ขึ้นไปสู่ศาลสูง ที่สำคัญไม่ต้องสืบพยาน ก็ทำให้รวดเร็ว ตกลงกันได้ก็ถอนฟ้อง ขอโทษกัน จับมือกัน
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวต่อไปว่า ประธานศาลฎีกายังให้นโยบายข้อที่ 2 คือต้องพัฒนาศักยภาพข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม โดยส่งเสริมให้มีการศึกษาฝึกอบรมทั้งในและต่างประเทศ และให้ยึดมั่นประมวลจริยธรรมในการดำรงตน
...การพัฒนาองค์กร "ตัวคน" คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้องค์กรก้าวหน้าพัฒนาไปได้ การพัฒนาคนจึงสำคัญ จะเห็นได้ว่าสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ มีการจัดอบรมหลักสูตรต่างๆ ตลอดทั้งปี เพื่อฝึกอบรมผู้พิพากษา ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ มีการปรับปรุงหลักสูตรอย่างต่อเนื่องเพราะศาลเห็นว่าสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงต้องปรับปรุงหลักสูตรตามไปด้วย รวมถึงการฝึกอบรมข้าราชการของศาลยุติธรรมด้วย เพราะข้าราชการศาลมีหน้าที่สำคัญในการช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้พิพากษา จึงต้องทำให้ข้าราชการของศาลยุติธรรมก็เป็นมืออาชีพ เก่ง เพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
ศาลมีการพัฒนาด้านการอบรมพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง มีการจัดทำระบบชี้วัดต่างๆ มีการจัดทำแผนพัฒนารายบุคคลเลยว่าแต่ละคนขาดสิ่งใด จะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไร ไปเพิ่มเติมด้านไหน โดยศาลเรามีทุนให้ไปฝึกอบรมภายนอกด้วย ทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและเอก เพื่อฝึกอบรมบุคลากร เพราะเราเชื่อว่าหากคนของเราได้รับการฝึกอบรมจนมีความรู้ที่ดี ได้รับการปลูกฝังเรื่องจริยธรรม ความมีประสิทธิภาพขององค์กรก็จะมีมากขึ้นจนเป็นที่พึ่งของประชาชนได้
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงนโยบายข้อ 3 ที่เน้นในเรื่องการเพิ่มการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการคดี และเพื่อให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมรวดเร็วขึ้นง่ายขึ้น และเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง โดยกล่าวว่าทุกวันนี้รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี
คำถามก็คือว่า แล้วศาลเราจะใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำงานได้อย่างไร แทนที่จะเพิ่มกำลังคน ก็นำเทคโนโลยีมาช่วย ต่อไปจะมี E-filing, E-Report แต่สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการพัฒนาเช่น แทนที่จะใช้กระดาษมายื่นฟ้องคดีต่อศาล ต่อไปก็อาจใช้เทคโนโลยี ให้ส่งทางอิเล็กทรอนิกส์ ทางอีเมล์ รวมถึงระบบสำนวนต่างๆ เพื่อให้มาแทนที่จากปัจจุบันที่ใช้ระบบการจัดเก็บเอกสาร ต่อไปก็จะให้ใช้ระบบแบบซอฟต์ไฟล์ได้ หรือการสืบพยานของศาล แทนที่จะต้องใช้เวลาเดินทางไปสืบประเด็น ก็ใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในการสืบพยานหรือแม้แต่การสืบพยานในต่างประเทศด้วยระบบดังกล่าว
สิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกให้กระบวนการพิจารณาคดีของศาลมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดกำลังคน และใช้เวลาในขั้นตอนต่างๆ น้อยลง สิ่งเหล่านี้ถ้าปรับปรุงให้ดีขึ้นจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่
โดย เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม พูดถึงความพร้อมของศาลในเรื่องนี้ว่า ศาลก็จะพัฒนาไปแบบต่อเนื่อง ผมไม่อยากบอกว่าเราพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เรากำลังปรับปรุงพัฒนาให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ เรามุ่งมั่น
การเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเรื่องเทคโนโลยี มันเกี่ยวพันกับคนที่จะเกี่ยวโยงไปถึงการทำงานของคน Mindset หรือวิธีคิดของคนก็มีส่วนสำคัญที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อันนี้สำคัญมาก ตัวเทคโนโลยีมีอยู่แล้ว แต่ว่าคนใช้สำคัญยิ่งกว่าเทคโนโลยี เพราะหากมีเทคโนโลยีแต่คนไม่ใช้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
- หากทำสำเร็จจะมีผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาตัดสินคดีของศาลหรือไม่?
การพิจารณาคดีก็มีความสะดวกรวดเร็วขึ้น ถามว่ากระทบหรือไม่-ก็กระทบ แต่ว่าจะเป็นในด้านดี เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ดีขึ้น อย่างในต่างประเทศ ระบบการอัดเสียงพยานในต่างประเทศเขาแทบไม่ต้องมานั่งอัดเทป เพราะเขาใช้ระบบดิจิตอล เวลามีการสืบพยานอะไรก็จะมีการบันทึกไปเลย ก็ไม่ต้องเสียเวลา หรือการฟ้องต่อไปก็อาจไม่ต้องใช้เอกสารอีกต่อไปแล้ว แต่การจะทำได้จะต้องมีซอฟต์แวร์รองรับ เทคโนโลยีมันจะเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานของคนให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
ผมคิดว่าปีหน้าน่าจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้สำนักงานศาลยุติธรรมก็เริ่มทำงานตามนโยบายท่านประธานศาลฎีกาที่ให้มาทันทีเลย โดยเริ่มจากเช่นพิจารณางบประมาณของศาลยุติธรรมที่ได้มา ว่าจะนำไปใช้ในด้านใดเพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวต่อไปว่า สำหรับนโยบายข้อที่ 4 ที่ประธานศาลฎีกาให้ไว้ คือเรื่องการดำเนินการส่งเสริมให้ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมรับค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่การดำรงตนตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยนโยบายดังกล่าวหมายถึงเดิมบัญชีเงินเดือนค่าตอบแทนผู้พิพากษาจะแยกจากบัญชีข้าราชการพลเรือน แต่ว่าตั้งแต่ศาลยุติธรรมแยกออกมาจากกระทรวงยุติธรรม เมื่อปี 2543 เป็นต้นมา การปรับปรุงบัญชีเงินเดือนของศาลยุติธรรมไม่ได้มีการพิจารณาทั้งหมดอย่างที่เคยมีการปรับ ก็เป็นการปรับตามบัญชีของข้าราชการพลเรือน
หลายหน่วยเวลานี้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงค่าตอบแทนไปเยอะแล้ว เราก็อยากดูว่าสิ่งที่กำหนดไว้เป็นนโยบายข้อดังกล่าวก็มาจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่เขารับรองไว้ในเรื่องการกำหนดค่าตอบแทนอยู่ในหมวดปฏิรูป คือต้องกำหนดค่าตอบแทนให้เหมาะสม คำว่าเหมาะสมดังกล่าวจะมีผลต่อการทำหน้าที่ด้วย เราไม่ได้บอกว่าถ้าไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนแล้วจะมีการทุจริต แต่ว่าเรามองว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาสามารถดำรงสถานะความเป็นอยู่ได้อย่างเหมาะสม ไม่มีปัญหาตามมา ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับเรื่องค่าตอบแทน สวัสดิการที่เหมาะสม จะทำให้คนที่ทำหน้าที่ไม่ต้องพะว้าพะวัง คือให้เขาสามารถดำรงตนอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านี้ หากเรามีการให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมเพียงพอ
- เป็นเรื่องโครงสร้างอัตราบัญชีเงินเดือนค่าตอบแทนข้าราชการตุลาการใช่หรือไม่?
ใช่ครับ เรากำลังเสนอปรับปรุงอยู่ อันนี้คือนโยบายข้อสี่ คือโครงสร้างพอใช้ไปได้สักระยะก็ต้องดูว่ามีปัญหาตรงไหน ต้องแก้ไขตรงไหน
- ศาลยุติธรรมไม่ได้ปรับมาเป็นเวลานานหรือยัง?
นานแล้วครับตั้งแต่ปี 2543 ที่มีการใช้บัญชีผู้พิพากษาเป็นระบบแท่งห้าชั้น หลังจากนั้นก็มีการปรับตามร้อยละตามที่ฝ่ายพลเรือนมีการปรับขึ้นเท่านั้น แต่ไม่เคยมีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เลยตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา เริ่มตั้งแต่เงินเดือนผู้ช่วยผู้พิพากษา ผู้พิพากษาประจำศาล มาจนถึงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ไม่ได้มีการปรับโครงสร้างอะไร สิ่งที่เรากำลังดูก็ต้องเสนอให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณา ว่าควรจะปรับให้เหมาะสมอย่างไรกับสภาพสังคมและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และภารกิจของผู้พิพากษาที่เพิ่มมากขึ้น
โดยขั้นตอนก็จะต้องมีการไปประสาน ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้ได้เสนอไปแล้ว โดยสำนักงานศาลยุติธรรมก็มีหน้าที่ต้องไปดำเนินการ ชี้แจงทำความเข้าใจกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงเหตุผลที่ทำไมจึงมีข้อเสนอดังกล่าว
- หากศาลจะขอขึ้นอัตราค่าตอบแทน เงินเดือน สังคมจะเข้าใจเหตุผลหรือไม่?
ผมคิดว่าประชาชนเข้าใจ เพราะสิ่งที่เราขอไปบัญชีเงินเดือนข้าราชการตุลาการมีห้าชั้น เราเข้าใจเรื่องงบประมาณของประเทศ เราไม่ได้เรียกร้องหรือขอในสิ่งที่สูงเกินความจำเป็น แต่เราก็ต้องดูบริบทว่าจะทำอย่างไรให้เขาอยู่ได้อย่างเหมาะสมในการดำรงชีวิต ที่ก็กำลังคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ แต่คนที่จะตัดสินใจก็คือรัฐบาล และหากเห็นชอบก็ต้องออกเป็นกฎหมายเสนอไปยังฝ่ายนิติบัญญัติว่าจะให้หรือไม่ให้
ถามถึงการปรับตัวของศาลกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0
เลขาธิการศาลยุติธรรม กล่าวว่า ก็เป็นไปตามนโยบายของประธานศาลฎีกาข้อสาม คือการนำเทคโนโลยีมาใช้กับศาลยุติธรรม ที่จะมีด้วยกันสองมิติ คือการปรับกระบวนการทำงานของศาลยุติธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับไทยแลนด์ 4.0 แต่ขณะเดียวกันเมื่อสังคมเปลี่ยน บริบทเปลี่ยน ศาลมีอำนาจหน้าที่ในการต้องพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดขึ้นจากไทยแลนด์ 4.0 ด้วย ดังนั้นเราก็ต้องพัฒนาตัวเอง ก็จะไปสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาคนของศาลยุติธรรม คือเมื่อบริบทสังคมเปลี่ยน คดีก็อาจจะมีความซับซ้อนยุ่งยากมากขึ้น มีการนำไอทีมาใช้อย่างเรื่องฟินเทค (Financial Technology) ที่เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจนว่าสังคมมันกำลังเปลี่ยนไป คดีที่กำลังอาจจะเกิดขึ้นก็จะเปลี่ยน เราก็ต้องตามให้ทันโลกทันการเปลี่ยนแปลง
ก็จะสอดคล้องกับนโยบายของประธานศาลฎีกาในข้อสองที่เน้นในเรื่องการพัฒนาคน เพื่อให้บุคลากรของศาลมีความรู้ ที่จะไปชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดจากสังคมในยุคไทยแลนด์ 4.0 ศาลก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ประเทศเราที่ต้องพัฒนาร่วมกัน ซึ่งทุกหน่วยก็ต้องทำ ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ก็ต้องช่วยกันขับเคลื่อนประเทศในเรื่องไทยแลนด์ 4.0 เพื่อให้เดินหน้าและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |