วิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศ : การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน


เพิ่มเพื่อน    

 

ระบบโลกที่ทุกคนอยู่ในกติกาที่ยอมรับได้ :

                เมื่อเดือนที่แล้วในที่ประชุมแชงกรี-ลา (Shangri-La Dialogue) ซึ่งเป็นเวทีเสวนาประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศ จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง (Lee Hsien Loong) แสดงปาฐกถาตั้งคำถามว่าทำอย่างไรโลกจะมีสันติและมีความมั่งคั่ง

                แนวทางของนายกฯ ลี เซียนลุง ยอมรับว่าโลกนี้มีชาติมหาอำนาจกับประเทศเล็ก ควรสร้างระบบโลกที่ทุกประเทศอยู่ในกติกา หวังว่าหากมีกติกา ทุกประเทศจะไม่ทำสงครามต่อกัน โลกมีสันติ เศรษฐกิจโลกขยายตัว แบ่งปันผลประโยชน์แก่ทุกประเทศ

                การแบ่งผลประโยชน์ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศจะได้เท่ากัน แต่ยอมรับกันได้ เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้แล้วตามกรอบกติกา เป็นบริบทที่ประเทศเล็กน่าจะได้ประโยชน์สูงสุด แทนการแข่งขันอย่างรุนแรงที่อาจลงเอยด้วยความรุนแรง และประเทศเล็กตกเป็นเหยื่อของการแข่งขันช่วงชิงระหว่างชาติมหาอำนาจ ดังสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม และอีกหลายที่

                ไม่ว่าแนวทางของนายกฯ ลีจะสามารถเป็นจริงหรือไม่  นายกฯ ลียอมรับการดำรงอยู่ของชาติมหาอำนาจ ยอมรับการมีอยู่ของสหรัฐและการก้าวขึ้นมาของจีน ทั้ง 2 ประเทศจะมีบทบาทสำคัญต่อโลก ต่อเอเชียแปซิกฟิกอย่างแน่นอน เป็นประเด็นที่ซ่อนคำถามว่าประเทศเล็กๆ จะอยู่ได้อย่างไร ภายใต้การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ

ภัยคุกคามจากภายในประเทศ สังคมอยู่ยาก :

                นายกฯ ลี เซียนลุง ได้เอ่ยถึงบริบทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันประเด็นภายในประเทศเป็นอีกด้านที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

                กรณีตัวอย่าง ฮ่องกง

                ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายคนคงเห็นภาพการชุมนุมใหญ่ที่ฮ่องกง เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน คนฮ่องกง 1 ล้านคน (จากประชากร 7.3 ล้าน) ชุมนุมเรียกร้องต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อผู้บริหารฮ่องกงยอมถอยเรื่องนี้ อาทิตย์ที่ผ่านมาคนฮ่องกง 2 ล้านคนชุมนุมเรียกร้องให้หัวหน้าผู้บริหารฮ่องกงลาออกจากตำแหน่ง

                ดังนั้น ต้นเหตุการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากเรื่องกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเท่านั้น น่าจะมาจากความไม่พอใจต่อผู้บริหารฮ่องกงหลายเรื่อง พูดให้ตรงกว่านั้นคือไม่พอใจรัฐบาลจีน และถ้าจะพูดให้สุดคือไม่พอใจชีวิตความเป็นอยู่

                เวลาพูดถึงฮ่องกงหลายคนอาจนึกถึงความเจริญของเกาะนี้ ฮ่องกงเป็นเกาะที่เจริญมานานแล้วก่อนกลับคืนเป็นของจีน มีตึกสูงทันสมัยเต็มไปหมด แต่ในอีกด้านหนึ่งของสังคม คนส่วนใหญ่ทำงานแบบปากกัดตีนถีบ ห้องขนาด 20 ตร.ม. อาจต้องอยู่รวมกันถึง 10 คน นอนบนเตียงที่ซ้อนกัน 4-5 ชั้น

                ฮ่องกงเจริญก้าวหน้า แต่สำหรับหลายคนเป็นสังคมอยู่ยาก

                กรณีตัวอย่าง สหรัฐ

                สหรัฐอเมริกาคืออีกตัวอย่างที่น่าสนใจ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าเอ่ยชื่อสหรัฐจะหมายถึงมหาอำนาจที่เหนือมหาอำนาจอื่นๆ มีบทบาททั่วโลก ประเทศที่มีกองทัพเข้มแข็งที่สุด ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด มีบริษัทชั้นนำมากมาย เป็นแหล่งนวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่

                ข้อมูลอีกชุดบอกว่า ทุกวันนี้คนอเมริกันเพียง 3 ครอบครัวที่ครองความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศ โดยนับจากคนยากจนที่สุดขึ้นมา (ล่าสุดมีประชากร 328 ล้านคน) คนร่ำรวยที่สุดเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ครอบครองความมั่งคั่งมากกว่าความมั่งคั่งของประชากร 92 เปอร์เซ็นต์รวมกัน และ 49 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นของคนกลุ่มรวยที่สุด 1 เปอร์เซ็นต์นั้น (ผลคือคนรวย-รวยขึ้น เหลื่อมล้ำมากขึ้น) สหรัฐอเมริกาอยู่ในยุคเหลื่อมล้ำที่สุดนับจากทศวรรษ 1920 เป็นต้นมา

                สหรัฐได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแต่มีคนจนถึง 40 ล้านคน ทุกคืนกว่า 500,000 คนต้องนอนข้างถนน (คนไร้บ้าน) ครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันใช้เงินแบบเดือนชนเดือน

                จะเห็นว่าแม้ตัวเลข GDP ดูดี ตลาดหุ้นแข็งแกร่ง อัตราว่างงานลดต่ำ แต่กรรมกร (หมายถึงพวกรับใช้ รวมทั้งสายวิชาชีพ) ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ หลายคนต้องทำงานหลายจ๊อบเพื่อความอยู่รอด คนรวยมีอายุยืนยาวมากกว่าคนจนถึง 15 ปีโดยเฉลี่ย

                ทั้งฮ่องกงกับสหรัฐเป็นตัวอย่างประเทศที่ชี้ให้เห็นว่าแม้ได้ชื่อว่าเจริญแล้ว เป็นมหาอำนาจโลก แต่สำหรับหลายคนเป็น “สังคมอยู่ยาก”

                เป้าหมายของการสร้างชาติจึงไม่ใช่เพียงทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง เป็นมหาอำนาจ แต่ต้องหมายถึงทุกคนอยู่ดีมีสุข

การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน :

                วันนี้คนไทยต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ ที่ดูแลดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยความรอบคอบ ประเทศไทยดำเนินนโยบายต่างประเทศภายในกรอบกติกาที่ต่างชาติยอมรับ อิงกรอบอาเซียน ให้อาเซียนเป็นผู้นำหน้า ปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติด้วยดี ใช้หลักถ่วงดุลอำนาจกับชาติมหาอำนาจต่างๆ

                แน่นอนว่าไทยไม่ได้ทุกอย่าง แต่พยายามรักษาสิ่งสำคัญที่สุดไว้เสมอ นั่นคือความเป็นเอกราช

                เมื่อมองไปในอนาคต คำถามเดียวกับที่นายกฯ ลี เซียนลุง  ตั้งไว้คือทำอย่างไรประเทศจึงจะมีสันติภาพและความมั่งคั่ง สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำไม่ต่างจากประเทศอื่น ต้องเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชาติ ทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความเข้มแข็งเรื่องค่านิยมวัฒนธรรม

                บางคนคิดว่าเรื่องการระหว่างประเทศคือเรื่องสัมพันธ์กับต่างประเทศเท่านั้น ความจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกี่ยวข้องกับความเป็นไปภายในประเทศอย่างยิ่ง เกี่ยวข้องกับบริบทภายในของประเทศ เช่น รัฐบาลโอบามาเป็นผู้ทำข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลๆ ทรัมป์ยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวเพียงฝ่ายเดียว หลายประเทศยอมเป็นมิตรกับอีกประเทศหนึ่งเพียงเพราะอยากได้เงินกู้ ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ หรือด้านการป้องกันประเทศ

                ยิ่งประเทศอ่อนแอพึ่งพาตัวเองได้น้อย ย่อมต้องแอบอิงประเทศอื่นมากขึ้นเป็นธรรมดา สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ในทางตรงข้ามชาติมหาอำนาจจะเพิ่มพูนผลประโยชน์และอำนาจของตนผ่านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

                วันนี้ เมื่อพูดถึงการสร้างพลังอำนาจแห่งชาติ หนึ่งในเรื่องสำคัญคือการสร้างความเข้มแข็งจากภายในทางด้านค่านิยมวัฒนธรรม

                หนึ่งในค่านิยมที่สำคัญและควรพัฒนา คือ ค่านิยมเรื่องการเสียสละ

                คำว่า “เสียสละ” ตรงข้ามกับกับคำว่า “กอบโกย” ตรงข้ามกับคำว่า “สู้แล้วรวย”

                คำว่าเสียสละเป็นเหตุให้พ่อแม่เลี้ยงลูกหลานอย่างดี มีความรับผิดชอบ เพราะหวังให้เด็กเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีอนาคต

                ด้วยการเสียสละเพียงเล็กน้อยทำให้เพื่อนบ้านอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

                ด้วยการเสียสละข้าววันละถ้วย จะช่วยให้ทุกคนมีกิน ไม่มีใครอดตาย

                ด้วยการเสียสละจะสร้างค่านิยมการเสียสละ สังคมเข้มแข็งจากรากฐาน ประเทศชาติมั่นคง และยังไม่ต้องถึงกับสละชีพเพื่อชาติดังบรรพบุรุษไทย

                การสร้างค่านิยมเสียสละไม่ต้องใช้งบประมาณพันล้านหมื่นล้าน ไม่ต้องซื้อเครื่องบินรถถังรุ่นล่าสุด ไม่ต้องรอเทคโนโลยี 5G ทุกคนสามารถสร้างค่านิยมเสียสละได้ด้วยการเริ่มต้นที่ตัวเอง เริ่มจากการเสียสละสิ่งเล็กๆ ก่อนแล้วจะพัฒนาสู่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

                ด้วยค่านิยมนี้ ทุกคนจะช่วยกันเปลี่ยนจาก “สังคมอยู่ยาก” ให้เป็น “สังคมอยู่ดีมีสุข” ทั่วทุกตัวคน อยู่ร่วมกันกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ ตั้งแต่เพื่อนบ้านข้างรั้วบ้านจนถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทย เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เข้มแข็ง ด้วยความเข้มแข็งจากภายใน.

------------------------

ภาพ : ภูมิทัศน์หนึ่งของฮ่องกง

ที่มา : https://unsplash.com/photos/r5Xd-F2st9w

                                                                ------------------------ 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"