กลุ่มสามารถ หวังยุติกิจการไอ-โมบาย จะช่วยพลิกฟื้นธุรกิจ


เพิ่มเพื่อน    

กลุ่มสามารถแจ้งผลประกอบการปี 60 ยังขาดทุน 948 ล้านบาท เหตุสำรองหนี้สูญ จากการยุติการทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือไอ-โมบาย แต่เริ่มเห็นสัญญาณดีสายธุรกิจอื่นๆยังคงสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

28 ก.พ. 2561 นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 60 รายได้รวม 13,130 ล้านบาท ขาดทุน 948 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ หลังจากยุติการทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือไอ-โมบาย อย่างไรก็ตามสายธุรกิจอื่นๆยังคงสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสายธุรกิจไอทีและโทรคมนาคม ที่สามารถสร้างมูลค่างานในมือในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเซ็นสัญญาใหม่ปีนี้อีกไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท

ด้านธุรกิจกล้องวงจรปิด ก็สร้างรายได้งามฟันกำไรเพิ่ม 500 % และที่สำคัญทางคณะกรรมการบมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น และอนุมัติให้บริษัทดำเนินการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) ที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 2 แก่ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่คิดมูลค่าในอัตราส่วน 3 หุ้นต่อ 1 หน่วย โดยใบแสดงสิทธิมีอายุ 3 ปีนับจากวันที่ออก และมีราคาการใช้สิทธิ 15 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้บริษัทจะนำเสนอสาระสำคัญของการออกใบแสดงสิทธิดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติกลางเดือนเมษายน และคาดว่าจะสามารถจัดสรรใบแสดงสิทธิได้ในเดือนพฤษภาคม 2561

“ด้วยเป้าหมายในการสร้างรายได้ประจำจากการต่อยอดและการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงนโยบายในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้สอดคล้องกับยุคสมัยและสามารถแข่งขันได้ ในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินธุรกิจด้านโมบาย-มัลติมีเดียอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการเปลี่ยนชื่อ บริษัทสามารถ ไอ-โมบาย เป็น บริษัทสามารถดิจิตอล เพื่อรองรับการขยายธุรกิจด้าน Digital Content & Solutions อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีความคืบหน้าของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจ Digital Trunk Radio System หรือในชื่อทางการตลาดว่า DigiTrunk ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการวางระบบเครือข่ายและติดตั้งอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ โดยมั่นใจว่าภายในสิ้นปีจะมีผู้ใช้บริการไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 200,000 รายใน 2-3 ปี , ธุรกิจ Digital Tourism Solutions อยู่ระหว่างการนำเสนอและสรุปขอบข่ายบริการกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการเปิดตัวโครงการความร่วมมือในเร็วๆนี้ ตามมาด้วย ธุรกิจ Co-Tower ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ภายในช่วงครึ่งปีหลัง

นายวัฒน์ชัยกล่าวต่อว่า “ในส่วนของธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ บริษัทได้พิจารณาแล้วเห็นว่าควรยุติ เนื่องจากมีแนวโน้มในการทำกำไรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนไม่คุ้มค่าในการลงทุน  ดังนั้น เพื่อมิให้เป็นภาระผูกพันในอนาคต บริษัทจึงได้มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและเผื่อสินค้าล้าสมัยในมูลค่าที่เหมาะสม โดยบริษัทยังคงรับผิดชอบในการให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าที่ใช้สินค้าของบริษัทอย่างเต็มที่”

นอกจากสายธุรกิจโมบายที่กำลังผันตัวเองเข้าสู่บริการดิจิตอลแล้ว บริษัทอื่นๆ ในกลุ่มสามารถถือว่ามีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น สายธุรกิจ ICT นำโดย บมจ.สามารถเทลคอม หรือ SAMTEL ปีที่ผ่านมาสามารถคว้าโครงการใหม่ๆ มูลค่ารวม 6,355 ล้านบาท อาทิ โครงการ Core Banking ของ ธอส. มูลค่า 1,898 ล้านบาท, โครงการติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคมทหารและอุปกรณ์ประกอบให้กับกองบัญชาการกองทัพไทย มูลค่า 941 ล้านบาท, การจำหน่ายเครื่องรับบัตรอัตโนมัติ (EDC)  ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ มูลค่ารวม 221 ล้านบาท, การจัดหาอุปกรณ์โครงข่ายให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย และงานติดตั้งระบบบริหารจัดการสนามบิน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ส่งผลให้ปัจจุบันมีงานมือมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้บรรลุเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทในปี 2561


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"