จีนในศตวรรษที่ 21 กับความริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”


เพิ่มเพื่อน    

เส้นทางสายไหมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช (2,200 ปีก่อน) ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (Han Dynasty) เส้นทางนี้เริ่มต้นจากเมืองซีอาน (Xi’an) มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตก ไปไกลถึงแอฟริกาและยุโรปใต้ เป็นเส้นทางโบราณสายหลักเพียงสายเดียวที่เชื่อม 3 ทวีป บรรดาพ่อค้านักเดินทางต่างรู้จักและใช้เส้นทางสายนี้นับพันปี

ถ้าจะพูดโดยมองจีนเป็นหลัก อาณาจักรจีนโบราณทำการค้ากับชนชาติอื่น ไกลถึงอาณาจักรโรมัน เป็นการเชื่อมต่อที่กษัตริย์หรือผู้ปกครองยุคนั้นสนับสนุน แน่นอนว่าจีนได้ประโยชน์ไม่น้อย ทั้งด้านการค้า สินค้าที่อีกฝ่ายไม่มีหรือผลิตไม่ได้ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความรู้และอื่นๆ

แต่ความจริงแล้วเส้นทางยาวหลายพันกิโลเมตรไม่ใช่ของจีนเพียงผู้เดียว (อาณาจักรจีนควบคุมบางส่วนของเส้นทางที่อยู่ในเขตแดนตน) เป็นเส้นทางร่วมของทุกอาณาจักร ทุกชนชาติเผ่าพันธุ์ที่ใช้เส้นทางนี้ ต่างได้ประโยชน์และหวังรักษาผลประโยชน์ของตน เป็นผลประโยชน์ร่วมที่จะรักษาและควบคุมเส้นทางดังกล่าว

                ดังนั้น แม้ชื่อจะชวนให้นึกถึงประเทศจีน ตำราประวัติศาสตร์ให้เกียรติจีนในเส้นทางนี้ ความจริงแล้วจีนไม่ใช่เจ้าของเพียงลำพัง และไม่อาจเป็นเช่นนั้น

สงครามร้อนไม่ยุ่ง มุ่งการค้าและพัฒนา :

                แนวคิดริเริ่ม "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" หรือ Belt and Road Initiative (BRI) เป็นอีกวิสัยทัศน์ว่ารัฐบาลจีนในยุคปัจจุบันมุ่งทำการค้าการลงทุนกับนานาประเทศ เพื่อการมีกินมีใช้ พัฒนาคนประเทศพัฒนา

                รัฐบาลจีนพยายามหลีกเลี่ยงสงครามทางทหาร เพราะจะบั่นทอนบรรยากาศการค้าการลงทุน ต้องสูญเสียทรัพยากรจำนวนมาก สงครามเกาหลีกับสงครามเวียดนามเป็นตัวอย่างที่จีนเข้าร่วม สงครามครั้งหน้าอาจลงเอยเป็นสงครามร้อนที่ไม่จบสิ้นหากมหาอำนาจอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเช่นนั้น อาจเป็นกับดักที่ปรปักษ์วางไว้

                เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจีนกำลังก้าวขึ้นมาอย่างสันติ จีนไม่พยายามขูดรีดผลประโยชน์ด้วยการทำสงครามหรือข่มขู่ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เพื่อนบ้านอุ่นใจและเห็นว่าการร่วมมือกับจีนน่าจะเป็นทางที่ดีกว่า แม้จะต้องเสียผลประโยชน์บ้าง จีนจะได้ประโยชน์จาก BRI มากกว่า (ถ้าคิดเช่นนั้น)

                ภายใต้ยุทธศาสตร์ BRI รัฐบาลจีนประกาศสนับสนุนให้คนจีน 500 ล้านคนเดินทางไปต่างประเทศ คนจีนในขณะนี้และอนาคตจึงเป็นผู้สัมผัสโลกภายนอกอันหลากหลาย มีความเป็นอินเตอร์มากขึ้น

                นักศึกษาจีนไปเรียนต่อในสหรัฐปีละนับแสนคน ข้อมูลปี 2017-18 นักศึกษาต่างชาติที่มากที่สุดในสหรัฐคือนักศึกษาชาวจีนมีมากถึง 363,341 คน เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษาที่แล้ว 3.6 เปอร์เซ็นต์ และคิดเป็นร้อยละ 33.2 ของจำนวนนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด (หรือ 1 ใน 3 ของบรรดานักศึกษาต่างชาติทั้งหมด) ราวกับว่ารัฐบาลจีนไม่หวั่นเกรงว่านักศึกษาเหล่านี้จะถูกสถาบันการศึกษา สังคมสหรัฐล้างสมอง

                ข้อมูลอีกชิ้นที่น่าสนใจ คือ จีนมีประชากรใกล้ 1,400 ล้านคนแล้ว ที่บางคนอาจยังไม่รู้คือคนจีนหลายสิบล้านคนได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในแอฟริกา ลาตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้แต่ทวีปอเมริกาเหนือ ผู้ย้ายถิ่นฐานยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

                มีความเป็นไปได้สูงว่า BRI จะส่งเสริมให้คนจีนย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศต่างๆ ที่เส้นทางสายใหม่ศตวรรษที่ 21 นี้วิ่งผ่าน

                มีเหตุผลน่ากังวลว่าการไหล่บ่าของคนจีน นักศึกษาจีน จะมีผลต่อสังคมวัฒนธรรมของประเทศนั้น ในมุมกลับกันคนจีน นักศึกษาจีน นับสิบนับร้อยล้านได้รับอิทธิพลค่านิยมจากประเทศอื่นๆ เช่นกัน ถ้ามองตามประวัติศาสตร์ โลกเป็นเช่นนี้ที่มีการส่งผ่านและรับทอดความรู้ค่านิยมจากอีกประเทศเสมอมา และกำลังทวีความรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์

                จีนไม่ได้คิดค้นระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ด้วยตนเอง แต่นำมาปรับปรุงให้เข้ากับคุณลักษณะจีน จีนคิดค้นดินประสิว แต่ชาติอื่นต่อยอดส่งยานลงดวงจันทร์ได้ก่อน จีนไม่ได้คิดค้นระบบสื่อสารไร้สาย แต่กำลังใช้ 5G และพัฒนา 6G 

                ประเด็นจึงไม่อยู่ที่ว่าควรแลกเปลี่ยนซื้อขายความรู้กับสินค้าหรือไม่ แต่อยู่ที่สามารถคัดสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์และพัฒนาต่อยอดหรือไม่ มีความมุ่งมั่นปฏิรูปพัฒนาตัวเองหรือไม่

                นึกถึงจีนเมื่อ 70 ปีก่อนกับปัจจุบัน แน่นอนว่าจีนไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีหลายสิ่งที่น่าศึกษาเรียนรู้จากเขา

ปัญหาการตีความ BRI ที่มุ่งการเมืองระหว่างประเทศ :

                แม้รัฐบาลจีนพยายามอธิบายว่า BRI ไม่ได้มุ่งแข่งขันทางการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ใช่ zero-sum game เป็นความร่วมมือผ่านการปรึกษาหารือ ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่รัฐบาลประเทศที่มองจีนในแง่ลบมักจะตีความว่าเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เช่น มองว่าเป็นแผนสร้างจักรวรรดิจีนยุคใหม่ รัฐบาลจีนใช้ BRI เป็นเหยื่อล่อเพื่อครอบงำประเทศต่างๆ Chang Ching-his นักเศรษฐศาสตร์ไต้หวันเห็นว่าหนึ่งในวิธีการคือให้สกุลเงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักของโลก เป็นเหตุผลที่จีนปล่อยกู้เป็นเงินหยวนแก่ประเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์นี้

                เป็นไปได้ที่บางกรณีรัฐบาลจีนตั้งใจใช้โครงการพัฒนา ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือเพื่อมีอิทธิพลต่อประเทศนั้นๆ แต่ถ้าจะกล่าวหาเช่นนั้น รัฐบาลอีกหลายประเทศทำเช่นนี้เหมือนกัน แม้กระทั่งจากรัฐบาลที่เรียกตัวเองว่าพัฒนาแล้ว เป็นเสรีประชาธิปไตย

                ข้อเท็จจริงคือ แทบทุกประเทศใช้วิธีการเช่นนั้น

                ก่อนหน้า BRI โลกมีโครงการเงินกู้ โครงการส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศมากมาย ทั้งองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IMF ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือแบบกู้ยืมจากประเทศอื่น ทั้งจากสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น

                BRI จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ถ้ามองในมุมลูกหนี้ย่อมเป็นโอกาสของลูกหนี้ที่จะมีตัวเลือกมากขึ้น

                ถ้ามองอย่างเป็นกลาง โดยทั่วไปแล้วประเทศลูกหนี้ ผู้รับการส่งเสริมการลงทุนมักเกรงใจประเทศเจ้าหนี้ และหวังจะได้เงินกู้ ความช่วยเหลือเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอนาคต ที่ผ่านมาหลายสิบประเทศขอจีนช่วยผ่อนผันการชำระหนี้

                ไม่ว่าจะมุมมองใด อิทธิพลจีนในเวทีโลกและต่อประเทศผู้รับการลงทุนจะเพิ่มขึ้น ส่วนจะเป็นที่ยินดีหรือไม่ กาลเวลาจะค่อยๆ เปิดเผยให้โลกรู้

จีนเป็นพัฒนาที่พัฒนาแล้วทุกด้านในปี 2049 :

                ในเวลา 70 ปี เศรษฐกิจจีนจากเดิมที่ล้าหลังแทบไม่มีอะไร ปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ปี 1950 ปริมาณการค้าจีนทั้งหมดมีมูลค่า 1,130 ล้านดอลลาร์ ปี 2018 ตัวเลขนี้กลายเป็น 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ นำเข้าสินค้าบริการจากต่างชาติอีกปีละ 2 ล้านล้านดอลลาร์ จีนกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการค้าโลก นโยบายเปิดประเทศค้าขายกับต่างชาติสร้างคุณประโยชน์ต่อชาวจีนและประเทศอื่นๆ

                ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศวิสัยทัศน์ว่า ในปี ค.ศ.2049 เมื่อฉลองวันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนครบ 100 ปี จีนจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วทุกด้าน เป็นเป้าหมายวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญเป็นประโยชน์ โดยที่ไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้น เพราะก่อนถึงวันนั้นทั่วโลกจะได้เห็นกับตาและพูดเองว่าจีนกำลังก้าวสู่มหาอำนาจโลกหรือไม่ เป็นแบบอย่างชาติมหาอำนาจที่เจริญแล้ว และน่าชื่นชมหรือไม่

                เป็นการยากที่จะวิเคราะห์อนาคต BRI ว่าจะเป็นอย่างไร จึงยากที่จะให้นิยามด้วย เพราะ BRI จะกำลังขยายตัวในทุกมิติ พัฒนาเหมือนไร้ที่สิ้นสุด เกิดผลกระทบทุกด้านทั้งบวกกับลบ ไม่อยู่ใต้การควบคุมเบ็ดเสร็จจากประเทศใดประเทศหนึ่ง บอกได้แต่ว่า BRI อยู่คู่กับโลกาภิวัตน์แห่งศตวรรษนี้ อยู่คู่กับความต้องการพัฒนาและอยู่รอดของประเทศ รัฐบาลและปัจเจกบุคคล

                แนวคิดข้อริเริ่ม "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" คือเส้นทางสายไหมใหม่ที่จีนกำลังก้าวไป ขวากหนามมีแน่นอน แต่เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ.

------------------------------

ภาพ : งานเฉลิมฉลอง 70 ปีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2019-10/02/c_138444247_16.htm

------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"