
สัญญาณเตือนภัยสำหรับประเทศไทยมีมาเป็นระยะๆ แต่ดูเหมือนว่าเรายังอยู่ในโหมดของ "ค่อยทำค่อยไป" และไม่เดือดร้อนกับคำเตือนที่ว่า "เพื่อนบ้านกำลังแซงเราไปเยอะแล้ว"
รายการล่าสุดจาก World Economic Forum เป็นคำเตือนล่าสุดที่เราควรจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรมากกว่าที่เราเคยทำมาตลอดหลายสิบปี
นั่นคือรายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันปี 2019 ของ WEF ที่ระบุว่าประเทศไทยแม้จะได้คะแนนเพิ่มขึ้น 0.6 คะแนน แต่อันดับลงมาอยู่ที่ 40 จากเดิมที่อยู่อันดับ 38 จาก 141 ประเทศ
ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ขึ้นแท่นที่ 1 ของโลก แซงหน้าสหรัฐฯ
และที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ เวียดนามปรับขึ้น 10 อันดับมาอยู่ที่ 67
รายงานนี้บอกว่าปัญหาใหญ่ของประเทศไทยคือ ขาดทักษะการแข่งขันในประเทศเพราะเอื้อทุนใหญ่ บริษัทระดับกลางและเล็กไร้โอกาสโต อีกทั้งสภาพแวดล้อมของหน่วยงานต้องมีความโปร่งใส และความสามารถทางสร้างนวัตกรรมของตัวเองยังต่ำ
ถ้าลงรายละเอียดจะเห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยมีคะแนนอยู่ที่ 68.1 คะแนน จากปีก่อนอยู่ที่ 67.5 คะแนน
แต่ไฉนอันดับของไทยตกลงมาอยู่ที่ 40 จาก 141 ประเทศทั่วโลก ซึ่งปี 2561 ไทยอยู่ในอันดับที่ 38
ตอบได้ง่ายๆ ว่าเพราะเราขยับขึ้นเล็กน้อย แต่ชาติอื่นวิ่งไปข้างหน้าเร็วกว่า
รายงานนี้บอกว่าไทยมีจุดเด่นใน 3 ด้าน คือ
1.เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค
2.ระบบการเงิน
3.สาธารณสุข
ทั้งสามด้านนี้เราได้ 80 คะแนนขึ้นไป
แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ "จุดอ่อน" 4 ด้านของไทยที่เขาวิเคราะห์เอาไว้
1.ทักษะ (Skills) และคุณภาพของระบบการศึกษา คะแนนด้านนี้ลดลงมาอยู่ที่ 62.3 คะแนน (จากปีก่อนที่ 63 คะแนน) ลดอันดับลงมาอยู่ที่ 73 ของโลก จากปีก่อนอยู่ที่อันดับ 66 คะแนนที่ลดลงมาจากทักษะของผู้จบการศึกษาที่ย่ำแย่ลง และการสอนให้คิดเชิงวิเคราะห์หรือ Critical Thinking ยังห่างไกลจากเป้าหมายพอสมควร
2.การแข่งขันภายในประเทศ (Product Market) ของไทยได้คะแนนเพียง 53.5 คะแนน ตอกย้ำว่ายังมีปัญหาของนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุน ทำให้การแข่งขันในตลาดไม่เป็นธรรมและไม่เกิดแรงจูงใจให้มีการพัฒนาของธุรกิจระดับกลางและเล็ก
3.สภาพแวดล้อมหน่วยงาน (Institutions) คะแนนอยู่ที่ 54.8 คะแนน ลดลงจากปีก่อนหน้านั้นที่อยู่ 55.1 คะแนน เป็นอุปสรรคในการต่อยอดเศรษฐกิจไทย ความชัดเจนโปร่งใสยังเป็นปัญหา
4.ความสามารถทางนวัตกรรม (Innovation Capability) เป็นประเด็นใหญ่
แม้ว่าจะมีคะแนนสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 43.9 คะแนน จากปีก่อนที่ 42.1 แต่ไทยยังไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมของตัวเองได้ ทำให้มีผลกระทบต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ กลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ
ประเด็นสำคัญที่ไทยเราจะต้องตระหนักก็คือว่า เรากำลังอยู่ในเวทีของการแข่งขันระดับโลก มิใช่เพียงแค่เราเอาตัวรอดก็เพียงพอ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถทางการแข่งขันในเวทีสากลที่หนักหน่วงและรุนแรงขึ้นตลอดนั้นวัดจากความก้าวหน้าของเราเองอย่างเดียวไม่ได้ หากแต่ต้องเปรียบเทียบกับความก้าวหน้าพัฒนาของประเทศอื่นๆ ด้วย
ถามว่ารัฐบาลและเอกชนไทยเราตระหนักถึงปัญหาทั้ง 4 ข้อที่ว่านี้หรือไม่ คำตอบคือรู้
และเราอาจจะปลอบใจตัวเองว่าเราก็ได้เริ่มต้นแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลา และต้องมีงบประมาณและบุคลากรมากกว่านี้
แต่บ่อยครั้งที่สิ่งเหล่านั้นคือ "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ยกระดับความตื่นตัวและทำให้เป็นเรื่อง "เร่งด่วน" ที่ต้องแก้ไขโดยมีเส้นตาย กรอบเวลา และเป้าหมาย รวมถึง "แผนปฏิบัติการ" ที่เป็นรูปธรรม
สิงคโปร์กระโจนไปเป็นเบอร์หนึ่งแล้ว
เวียดนามกำลังหายใจรดต้นคอไทย
และเราเองก็ยังติดอยู่ใน "กับดักรายได้ปานกลาง"
ทัศนคติของคนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการ "รู้ว่ามีปัญหา เราทำได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว"
แต่ความจริงของโลกบอกเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า
เก่งที่สุดของเราก็ยังไม่พอ เพราะคนอื่นเขาเก่งกว่าเราหลายเท่านัก.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |