คู่แค้นกับเซลฟี: การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร


เพิ่มเพื่อน    

 

               ภาพนี้ยืนยันเป็นมั่นเหมาะครับว่า สัจธรรมเรื่องการเมืองไม่เคยมีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรนั้นยังเป็นวาทะอมตะเสมอ

                โจโก วิโดโด (โจโกวี) ชนะเลือกตั้งได้นั่งตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสอง แล้วก็ประกาศตั้งคู่แข่งคนสำคัญคือ นายพลปราโบโว ซูเบียนโตมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมหน้าตาเฉย

                หลายคนไม่เชื่อว่าคู่แค้นทางการเมืองสองคนนี้รักกันจริง โจโกวีเลยถ่ายเซลฟีด้วยกันให้ได้เห็นเสียเลย

                "ผมตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมเพราะเขารู้เรื่องความมั่นคงดีกว่าผม" โจโกวีตอบนักข่าวหลังจากมีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีใหม่ที่สร้างความประหลาดใจไปทั่ว

                นายพลคนนี้มีประวัติเคยเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน  รังควานและทำร้ายผู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพมาไม่น้อย

                ความที่เป็นลูกเขยของอดีตเผด็จการนายพลซูฮาร์โต (ซึ่งปกครองประเทศแบบรวบอำนาจ 32 ปีเต็ม ก่อนจะถูกโค่นหลังวิกฤติเศรษฐกิจช่วงเดียวกับต้มยำกุ้งของไทย) นายพลซูเบียนโตเป็น "มือปราบ" ที่เลื่องลือว่ากระทำการ "วิสามัญฆาตกรรม" ผู้อยู่คนละข้างกับรัฐบาลมาบ่อยครั้ง

                แต่วันนี้เขาอ้างว่าในขณะนั้นเขาเพียงทำตามคำสั่งของหัวหน้าเท่านั้น

                ซูเบียนโตปีนี้อายุ 68 (โจโกวี 58) เคยหนีตามพ่อที่ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ยุโรปหลายเมือง เช่น ซูริกและลอนดอน เพราะถูกกล่าวหาว่ามีความโยงใยกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนบนเกาะสุมาตรา

                เพราะเขาแต่งงานกับลูกสาวคนที่สองของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต จึงมีคนเชื่อว่าเขาสามารถไต่เต้าตำแหน่งสำคัญๆ ทางทหารขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

                เมื่อซูเบียนโตได้รับตำแหน่งควบคุมหน่วยทหารในติมอร์ตะวันออก ก็ถูกโยงไปถึงเหตุการณ์ที่ทหารกระทำการปราบปรามอันโหดร้ายต่อผู้เรียกร้องสิทธิการปกครองตนเองที่นั่น

                เขาถูกไล่ออกจากกองทัพเพราะมีส่วนร่วมในการลักพาตัวและสังหารนักเคลื่อนไหวที่เป็นนักศึกษาเมื่อปี 1998

                ต่อมาอเมริกาสั่งระงับวีซ่าเข้าประเทศจนถึงปี 2014 ออสเตรเลียก็ขึ้นทะเบียนชื่อเขาในบัญชีดำเช่นกัน

                แต่แล้วเขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว กระโดดเข้าการเมืองระดับชาติได้อย่างน่าพิศวง

                และแม้ความพยายามจะเสนอตัวเป็นประธานาธิบดี 4 ครั้ง 4 คราวไม่สำเร็จ ท้ายที่สุดเขาก็สามารถเบียดตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของคนที่เคยชี้นิ้วกล่าวหาเขาระหว่างหาเสียงอย่างเสียๆ หายๆ  จนได้

                หลังผลการเลือกตั้งออกมา เขาออกมาประท้วงว่าโจโกวีโกงเลือกตั้ง และผู้สนับสนุนเขาออกมาประท้วงอย่างรุนแรง แต่อยู่ดีๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อ "ผลประโยชน์ลงตัว" ระหว่างเขากับโจโกวี

                โจโกวีอ้างว่าที่เขาตัดสินใจอย่างนี้ เพราะในสมัยที่สองเขาต้องการจะทุ่มเทไปในการปฏิรูปเศรษฐกิจ จึงอยากจะให้ซูเบียนโตดูแลด้านความมั่นคงเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้ประเทศ

                ผู้สนับสนุนโจโกวีจำนวนหนึ่งแสดงความผิดหวังอย่างออกนอกหน้า และเริ่มจะสงสัยว่าทิศทางการเมืองของประเทศจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร...ทหารจะกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น หรือพลเรือนจะสามารถรักษาอำนาจในการบริหารกองทัพได้เหมือนที่ผ่านมา หลังอินโดนีเซียกลับเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่

                แน่นอนว่าโจโกวียืนยันว่าเขาต้องการจะสร้าง "บรรยากาศแห่งความปรองดองในชาติ" ด้วยการดึงเอาศัตรูมาทำงานร่วมกัน

                ผมจำได้ว่าตอนที่บารัก โอบามาชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี เขาก็เชิญฮิลลารี คลินตันมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ทั้งๆ ที่การหาเสียงแข่งขันกันในพรรคเดโมแครตก็มีการปะฉะดะกันอย่างดุเดือด

                ฮิลลารีบอกผมในการให้สัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ ในจังหวะนั้นว่า "ที่ดิฉันรับตำแหน่งที่ประธานาธิบดีโอบามาเสนอนั้น ก็เพราะการแข่งขันทางการเมืองเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว เราก็ต้องมองดูผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก"

                สำหรับกรณีโจโกวีกับซูเบียนโตนั้น....ความร้าวฉานดั้งเดิมและประวัติส่วนตัวของนายพลที่เคยอื้อฉาวเรื่องปราบปรามผู้เรียกร้องประชาธิปไตย น่าจะมีคำถามมากกว่ากรณีโอบามากับฮิลลารีมากกว่าเยอะทีเดียว.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"