“ไอเอ็มเอฟ”ชมเปาะเศรษฐกิจไทยเสถียรภาพแกร่ง


เพิ่มเพื่อน    

6 พ.ย. 2562 นางคริสตาลีนา กอร์เกียว่า กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในงาน "Joint BOT-IMF High level Conference" ว่า ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญกับกับท้าทายจากปัจจัยด้านต่างประเทศและในประเทศ โดยปัจจัยด้านต่างประเทศนั้น ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศที่เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน เป็นตัวเร่งให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินสกุลต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งล้วนก่อให้เกิดเป็นข้อจำกัดต่อขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน

ส่วนปัจจัยภายประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน หนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความเหลื่อมล้ำในภูมิภาคต่างๆ และความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

ทั้งนี้ มองว่าประเทศไทยโชคดีที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังมีความเข้มแข็ง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ถือเป็นกันชนที่ดี อีกทั้งยังมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อรับมือกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกได้ แต่ต้องเก็บไว้ใช้ในภาวะสถานการณ์ข้างหน้าที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ด้วย โดยการเลือกใช้หรือการออกแบบนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องมีการใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ใช่การให้เงินเพียงอย่างเดียว ต้องมีกลไกมารองรับ และควรคำนึงถึงการยกระดับภาคผลิตของประเทศ เป็นการใช้ความสามารถด้านการคลังเพื่อประโยชน์ในระยะยาวด้วย

“ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกันนั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากความตึงเครียดทางการค้าที่สร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และการลงทุน นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ความขัดแย้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ที่ต่างสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จึงเห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนควรเตรียมความพร้อมสำหรับการทำนโยบายร่วมกัน ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว” นางคริสตาลีนา กล่าว
อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ความเสียหายจากสงครามการค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว โดยไอเอ็มเอฟได้ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง 0.8% มาเหลือที่ 3% ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ 3.4% ส่วนเศรษฐกิจในอาเซียนคาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ 4.6% ลดลงจากที่เคยประเมินไว้ที่ 5% ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ 4.8%

ด้านนโยบายการเงินนั้น ประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 1 ครั้งในปีนี้ และยังมีช่องว่างที่ยังลดได้มากกว่านี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะประชุมกันในวันที่ 6 พ.ย. นี้ โดยต้องดูว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินนั้น จำเป็นต้องทำในตอนนี้หรือไม่ หรือจะเป็นครั้งที่สามารถหยุด (หรือคงอัตราดอกเบี้ย) ได้

“หากมองในกรณีของธนาคารสหรัฐ (เฟด) ที่ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ในการประชุมครั้งล่าสุด (30 ต.ค.) และส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ โดยระบุว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับที่เหมาะสม เพราะคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐไปในทิศทางที่ดี และยังมีสัญญาณบวกจากการตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แม้จะยังไม่เป็นทางการ การเลื่อน Brexit แม้จะยังไม่สำเร็จทั้งสองอย่าง แต่ก็มีสัญญาณการลดลงของความไม่แน่นอน เหล่านี้คือเรื่องที่ผู้วางนโยบายต้องให้ความสนใจ” นางคริสตาลีนา กล่าว

สำหรับประเทศไทยอยู่ในภาวะภาคอุตสาหกรรมชะลอลง การลงทุนก็ชะลอลง แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงสูงอยู่ แต่จะเป็นการดีหากประเทศไทยจะอัดฉีดมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ช่องว่างด้านนโยบายการคลัง แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการลงทุนที่มีประสิทธิผลเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"