จากหลวงพระบางสู่หนองเขียว


เพิ่มเพื่อน    

                จากหลวงพระบางสู่หนองเขียว
    โจทย์และแผนการเดินทางคร่าวๆ ที่วางมาก่อนออกจากกรุงเทพฯ คือจากหลวงพระบางจะไปให้ถึงเมืองเดียนเบียนฟูของเวียดนามได้อย่างไร จากนั้นก็จะต่อไปซาปาแล้วจึงเข้าสู่แผ่นดินจีน ในแผนที่มีตัวเลือกเมืองแวะอย่างเมืองไชย แขวงอุดมไชย และหนองเขียวที่ยังคงอยู่ในพื้นที่แขวงหลวงพระบาง จึงตัดสินใจไม่ยากนักที่จะเลือกหนองเขียว เพราะเคยมีนักท่องเที่ยวหลายคนกล่าวเยินยอถึงความงาม

(รถตู้หลวงพระบาง-หนองเขียว แวะระหว่างทางให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ)

          ผมจองที่นั่งรถตู้ไปหนองเขียวกับรีเซฟชั่นของโรงแรมไว้เมื่อวานตอนสายๆ ในราคา 70,000 กีบ รถตู้จะมารับหน้าโรงแรมเวลา 9 โมงเช้า ที่ต้องเรียกว่าจองที่นั่งแทนจองตั๋ว เพราะไม่มีการออกตั๋วหรือกระทั่งใบเสร็จ นอกจากรถตู้แล้วก็ยังมีรถบัสด้วย มีเที่ยว 11 โมงและบ่ายโมง ในราคาเท่ากัน แต่จะวิ่งช้ากว่ารถตู้ โดยรถตู้วิ่ง 4 ชั่วโมง (โฆษณาไว้ 3 ชั่วโมง) ส่วนรถบัสอาจจะนานถึง 6 ชั่วโมง (ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร) และรถบัสไม่ได้มารับถึงที่ หากแต่ต้องนั่งจัมโบ้ไปขึ้นที่สถานีขนส่งสายเหนือ (ข่าวว่าค่อนข้างไกลจากตัวเมือง) โดยโรงแรมจะเป็นผู้จ่ายค่าจัมโบ้ให้
          เสร็จมื้อเช้าของโรงแรมแล้วผมก็แพ็กกระเป๋าโดยไม่สนใจกาแฟ เพราะตั้งใจจะไปนอนต่อบนรถตู้ เมื่อคืนนี้ที่บาร์ของเจ๊ฮังกาเรียนผมทำหน้าที่เป็นทั้งลูกค้าคนแรกและคนสุดท้ายของร้าน เงินกีบที่ใช้เงินจีนแลกไว้ 500 หยวน เกือบหมดไปในคืนเดียว เพราะราคาเครื่องดื่มในบาร์ค่อนข้างแรงเอาการ จึงต้องควักเงินหยวนที่เตรียมไว้ใช้ที่เมืองจีนออกมาแลกอีกครั้ง ร้านรับแลกที่ให้ราคาดีเยี่ยมกว่าใครต้องยกให้ร้านใกล้ๆ ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว ตรงบริเวณสี่แยก หัวถนนตลาดมืด (ตลาดขายของกลางคืน) อัตราแลกเปลี่ยนที่ดูในอินเทอร์เน็ต หยวนละ 1,244 กีบ ร้านนี้ให้ 1,240 ส่วนร้านทั่วไปอยู่ที่ 1,220 และ 1,230 เท่านั้น
         รถตู้มารับที่หน้าโรงแรมตรงเวลา เก็บของท้ายรถแล้วเปิดประตูเข้าไป สตรีฝรั่งเศสรุ่นคุณยายทักว่า “บองชู” แกคงนึกออกว่าขณะนี้อยู่บนแผ่นดินลาวจึงเปลี่ยนเป็น “สบายดี” ผมก็ตอบเป็นภาษาฝรั่งเศสควบลาวไปว่า “บองชู สบายดี” แกหลีกทางให้ผมเข้าไปนั่งแล้วหันมาพูดต่ออย่างมีความหวัง “ปาเลฟร็องเซ?” ผมตอบ “นอน ดิโซลี มาดาม” นั่นคือทั้งหมดที่ผมพูดได้
           นอกจากคุณยายอัธยาศัยดีคนนี้แล้ว ในรถตู้ยังมีคุณยายและคุณตาอีกคนหนึ่ง ล้วนเป็นฝรั่งเศส ที่เหลือคือสองสาวพูดจีน ทราบทีหลังว่าเป็นคนสิงคโปร์และคนอินโดนีเซีย ทั้งคู่ไปใช้ชีวิตอยู่ไต้หวันจึงสนทนาจีนกลางกันอย่างเข้าอกเข้าใจ
           รถตู้คันนี้จอดที่สถานีขนส่งใกล้ๆ ตัวเมือง โชเฟอร์หันมาบอกว่า “เชนจ์” ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถตู้อีกคันที่มีขนาดใหญ่กว่านิดหน่อย ซึ่งจอดรออยู่แล้ว รถจะออกจากสถานีเวลา 9 โมงครึ่ง หน้ารถตู้คันใหญ่มีผู้โดยสารยืนรอเวลารถออกอยู่อีก 4 คน เป็นพ่อแม่ลูกชาวฝรั่งเศส 3 คน และอเมริกันอีก 1 คน ผมพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษว่า “อีกหนึ่งการชุมนุมของชาวฝรั่งเศส” มีคนหันมามองแล้วแค่นหัวเราะอย่างเสียไม่ได้ให้กับมุกฝืดๆ         
          ยังพอมีเวลาราว 15 นาที ผมเดินไปที่ช่องขายตั๋วเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเดินรถของสถานีขนส่งแห่งนี้ และต้องตกใจเมื่อทราบว่าไม่มีรถจากหนองเขียวไปเดียนเบียนฟู ต้องนั่งเรือไปยังเมืองขัวก่อนเพื่อต่อรถบัส หรือไม่ก็ต้องกลับมายังหลวงพระบางอีกรอบแล้วนั่งรถบัสทอดเดียวจากหลวงพระบางไปเดียนเบียนฟู นี่คือความรู้ใหม่เอี่ยม แต่ถ้าผมมีข้อมูลนี้อยู่ก่อนก็คงจะไม่ได้ไปเยือนหนองเขียว จะพลาดบางอย่าง และจะรักษาบางอย่างไว้ได้ (ต้องขออนุญาตไปสาธยายในตอนหน้า)
           นอกจากนี้ก็ได้ทราบว่าค่ารถตู้จากหลวงพระบางไปหนองเขียว หากมาซื้อที่สถานีก็จ่ายเพียงแค่ 55,000 กีบ ถูกลงไป 15,000 กีบ แต่ค่าโดยสารจัมโบ้จากโรงแรมมายังสถานีขนส่งก็ประมาณ 10,000 กีบ กรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นการค้ากำไรเกินควร
        ผมสงสัยรถบัสขนาดใหญ่ที่จอดอยู่ในสถานีขนส่ง มีป้ายเขียนหน้ารถว่า “คุนหมิง-หลวงพระบาง” เจ้าหน้าที่ในช่องขายตั๋วบอกว่าเป็นรถนอน ใช้เวลาในการเดินทาง 24 ชั่วโมง ผมไม่สนใจการโดยสารรถบัสที่นานข้ามวันจึงลืมถามราคาตั๋วไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ได้ทราบว่ามีรถบัสจากหลวงพระบางไปเมืองเชียงรุ่ง แคว้นสิบสองปันนาของจีนออกในเวลาเช้าตรู่ เช่นเดียวกับบัสไปเมืองซาปาของเวียดนาม แถมยังมีบัสไปเมืองเว้อีกด้วย แต่ออกตอนเย็น  
          ซื้อของกินเล่นในร้านค้าของสถานีเผื่อๆ ไว้แล้วก็ได้เวลาขึ้นรถ ซึ่งรถตู้คันนี้นั่งได้ 11 คนรวมคนขับ ชาวอเมริกันนั่งหน้า เขาเปิดกระจกยื่นมือออกไปรับลมอย่างอารมณ์ดี ทำนิ้วกระดุกกระดิกอยู่ตลอดเวลา ถนนหนทางที่ไม่ค่อยดีและบางส่วนกำลังมีการก่อสร้าง ทำให้ฝุ่นพัดคลุ้งเข้ามาในรถ สาวฝรั่งเศสวัยประมาณ 17-18 ปี ที่มากับพ่อแม่ก็ชอบเปิดกระจกรับลมเช่นกัน ทำให้แอร์ในรถไม่ค่อยเย็น แถมฝุ่นยังอบอวล จึงหมดหวังที่จะนอนหลับชดเชยจากเมื่อคืน
        รถวิ่งเลียบแม่น้ำอูขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงหนึ่งกำลังมีการก่อสร้างเขื่อน เขียนอักษรติดไว้ทั่วบริเวณว่า Power China ก็คงไม่ต้องบอกว่าใครเป็นเจ้าของโครงการ และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้การล่องเรือโดยสารจากหลวงพระบางขึ้นมาหนองเขียวต้องยุติลงไปเมื่อปีสองปีก่อนนี้เอง  
           ผู้โดยสารรู้สึกเป็นเรื่องไม่ค่อยปกติเมื่อโชเฟอร์แวะเติมน้ำมันรถ ต่อมาก็แวะซื้อเครื่องดื่มบำรุงกำลัง พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันถึงความแปลกนี้อย่างออกรส ไม่นานโชเฟอร์แวะซื้อส้ม ริมถนนช่วงหนึ่งมีแม่ค้าขายส้มหลายเจ้า ลงไปดูเจ้าหนึ่งไม่ถูกใจ ก็ขับรถต่อไปจอดหน้าแผงอีกเจ้า ผมขอลงไปซื้อด้วย คนอื่นๆ ก็ลงตาม คราวนี้กลายเป็นเรื่องสนุกสนาน ได้ส้มมาคนละกิโลสองกิโล ราคากิโลละ 8 พันกีบ แต่ผมกินได้ครึ่งลูกก็ถอย เปรี้ยวอย่างกับมะนาว ไปถึงหนองเขียวแล้วก็กินได้อีกแค่ครึ่งลูก สุดท้ายต้องทิ้งทั้งถุง
        เลยเที่ยงมานิดหน่อย รถตู้แวะร้านอาหาร นอกจากโชเฟอร์แล้วก็ไม่มีใครกินมื้อเที่ยง พวกฝรั่งเศสนั้นดูแล้วออกไปทางไม่ไว้วางใจความสะอาดของอาหาร เช่นเดียวกับ 2 สาวพูดจีน ผมนั้นกลัวว่าจะไปกระตุ้นต่อมอาเจียน เพราะเห็นแล้วว่าเส้นทางบางช่วงมีโค้งเคี้ยวคดไปมา ไม่กล้าเสี่ยง ส่วนชายวัยกลางคนชาวอเมริกัน หน้าตาคล้ายจอช โบรลิน ดาราฮอลลีวูด เดินไปยังตู้แช่เปิดเบียร์ลาวกระป๋องยกขึ้นดื่ม ผมแซวว่า “เริ่มต้นวันได้ดี” เขาก็เดินมาพูดคุยด้วยขณะรอโชเฟอร์หม่ำข้าว
          แกมาจากรัฐไอดาโฮ เพิ่งเคยเดินทางท่องเที่ยวในเอเชียเป็นครั้งแรก คุยไปคุยมาสุดท้ายก็หยิบเรื่องสงครามเวียดนามขึ้นมา แกบอกว่าในสมัยเด็กๆ ได้ยินผู้นำสร้างผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมาให้ชาวอเมริกันหวาดกลัว พอมาถึงยุคนี้ผู้นำของแกก็ยังสร้างผีความกลัวตัวใหม่ๆ ขึ้นมาอีก
           “ไม่ดีเลยหากจะสร้างบ้านขึ้นมาโดยมีความหวาดกลัวเป็นฐานราก” พ่อจอช โบรลิน ของผมพูดแล้วก็ยกเบียร์ขึ้นจิบอย่างเท่
           รถตู้ขับมาจอดที่คิวรถหนองเขียว ซึ่งยังห่างจากเขตตัวหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยกันมีรถสองแถวมารับ คาดว่าเป็นรถจากรีสอร์ตที่พวกเขาจองไว้ เข้าใจเช่นนั้นเพราะโชเฟอร์เรียกชื่อบรรดาฝรั่ง และไม่ได้เชิญชวนให้ผมขึ้น จึงมีเพียงผมและ 2 สาวพูดจีนที่เดินอย่างเคว้งคว้างออกไปบนถนนใหญ่ 2 สาวจีนกำลังจะเลี้ยวไปทางขวาซึ่งผิดทาง ผมต้องตะโกนให้เดินไปด้วยกันทางซ้ายมือ บ่ายนี้แดดร้อนมากจนทั้งคู่ต้องกางร่ม รถสองแถวคันนั้นขับผ่านไป ผมแกล้งหันไปมองอีกทาง
           เข้าเขตตัวหมู่บ้านแล้ว 2 สาวจีนแวะซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ จากร้านขายของชำ ผมตะโกนบอกพวกเธอว่าขอล่วงหน้าไปก่อน ข้ามแม่น้ำอูโดยใช้สะพานคอนกรีตอย่างดีที่สร้างด้วยเงินจีน เชื่อมฝั่งหนองเขียวกับอีกฝั่งชื่อว่าสบฮุน แต่ก็เรียกรวมๆ ว่าหนองเขียว ทั้งนี้หนองเขียวมีสถานะเป็นเพียงหมู่บ้าน ขึ้นกับเมืองงอย สังกัดแขวงหลวงพระบาง

(บังกะโล เกสต์เฮาส์ ของฝั่งสบฮุนเมื่อมองจากสะพานไปทางด้านขวามือ สภาพดูเรียบง่าย ไม่น่าตกใจเรื่องราคา)

        เกสต์เฮาส์ของผมตั้งอยู่ไม่ห่างจากตลิ่ง ราคาคืนละประมาณ 220 บาทเท่านั้น เป็นบังกะโลฝาไม้ไผ่ขัดแตะ พื้นปูเสื่อ มุงสังกะสี มองเห็นสะพาน แม่น้ำและภูเขาหลังแม่น้ำ ตรงระเบียงผูกเปลญวน มีโต๊ะไม้กลมขนาดเล็กและเก้าอี้พลาสติก 2 ตัว ไฟในห้องน้ำไม่ค่อยสว่าง เช่นเดียวกับไฟในห้อง ตอนจะเขียนคอลัมน์ผมต้องลากเก้าอี้ตรงระเบียงมาวางไว้ใต้ดวงไฟ ใช้เบาะรองนั่งวางบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเพื่อวางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก แล้วนั่งหลังงอใช้นิ้วกระทุ้งแป้นพิมพ์

(มุมมองจากระเบียงบังกะโลของผู้เขียน)

         มื้อเที่ยงในยามบ่ายผมเดินไปกินที่ร้านอาหารชื่อ Mama Alex ห่างจากเกสต์เฮาส์ไม่ถึง 100 เมตร ร้านอยู่ในเขตตัวบ้าน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ทั้งหมด มีหลายโต๊ะ ผมเปิดเมนูแล้วสั่งข้าวผัดหมู ป้าเจ้าของร้านบอกว่าหมูมีพยาธิ ซึ่งก็คงหมายถึงโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ซึ่งก่อนนี้ระบาดหนักในจีน ผมจึงเปลี่ยนเป็นข้าวผัดไก่ ความจริงแล้วไวรัสหมูตัวนี้คงไม่ได้ระบาดรุนแรงในลาว แต่ก็ทำให้ต้องเลิกขายหมูกันในวงกว้าง ที่หลวงพระบางก็หาหมูกินไม่ได้
         ป้าเจ้าของร้านชื่อ “สมจัน” พูดแทนตัวเองว่า “แม่” ผมจึงเรียกแกว่าแม่ แกเป็นคนหลวงพระบาง ได้ย้ายมาบุกเบิกที่หนองเขียวได้หลายปีแล้ว เป็นมังสวิรัติและเคร่งศาสนา (พุทธ) มักเดินทางไปปฏิบัติธรรมในไทย มีญาติธรรมเป็นคนไทยหลายคน แกพูดจานุ่มนวลและใจดีมาก นอกจากแม่สมจันจะเป็นคนทำอาหารเองแล้วก็มีหลานสาวคอยช่วยในบางเมนู ด้วยรสชาติถูกปากและความมีเมตตาของแก ผมเลยกินข้าวร้านแกทุกมื้อตลอดการพักที่หนองเขียว
           ข้าวผัดไก่ใส่ไข่ดาวมาด้วย เพราะข้าวไม่ได้ผัดรวมกับไข่ จานใหญ่ขนาดกินได้ 2 คน แต่ผมก็กินคนเดียวจนหมด มีแมวในร้านมาขอแบ่งไปนิดหน่อย แมวร้านนี้มีอยู่ 4-5 ตัว พวกมันกินอาหารของผมเกือบทุกอย่าง นับตั้งแต่ข้าวผัด ไข่เจียว ผัดเห็ด หรือแม้แต่แพนเค้กในมื้อเช้าวันต่อมา มีอยู่อย่างเดียวที่พวกมันปฏิเสธคือมันทอด
         ผมอิ่มหนักจนคิดว่ากาแฟแรงๆ ก็คงเอาไม่อยู่ จึงต้องกลับไปงีบ ตื่นมาเวลาเย็นย่ำ อดออกไปเดินเที่ยว เพราะต้องเขียนคอลัมน์ จนกระทั่งหลังมื้อเช้าวันต่อมาแล้วจึงได้เดินชมหนองเขียว อากาศตอนสายๆ ปลายเดือนตุลาคมยังเย็นสบาย เมื่อยืนบนสะพานข้ามแม่น้ำอูมองไปรอบๆ เห็นภูเขาหินปูนสูงชัน 5-6 ลูกล้อมไว้ ทำให้หนองเขียวเป็นเมืองในหุบเขาวิวงาม แถมยังมีแม่น้ำไหลผ่าน จึงไม่ต้องสงสัยว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวที่มาเยือน สปป.ลาว

(น้ำอูที่หนองเขียว แม่น้ำสายนี้ไหลมาจากยอดอูในแขวงพงสาลี บรรจบกับแม่น้ำโขงที่ปากอู แขวงหลวงพระบาง รวมระยะทาง 448 กิโลเมตร)

    แม่น้ำอูเป็นอีกแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ ไหลมาจากยอดอูในแขวงพงสาลี มีภูเขาเป็นเกราะและขอบเขตอยู่ตลอดสองฝั่ง ผ่านหลายเมืองสำคัญ อาทิ เมืองขัว เมืองงอย ลงมายังหนองเขียว และไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่ปากอู ไม่ห่างจากเมืองหลวงพระบางมากนัก รวมระยะทาง 448 กิโลเมตร ปัจจุบันบริษัทผลิตกระแสไฟฟ้าจากจีนได้รับสัมปทานไปทั้งหมด กำลังมีการก่อสร้างเขื่อนถึง 7 แห่งตลอดลำน้ำ แม่น้ำจึงกลายสภาพเป็นอ่างเก็บน้ำขั้นบันไดไปเสีย เกิดการอพยพชาวบ้านที่ส่วนมากเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เกือบร้อยหมู่บ้าน จากที่เคยดำรงวิถีชีวิตเรียบง่ายโดยอาศัยสายน้ำและผืนป่า ข่าวว่ากำลังจะย้ายไปอยู่ในหมู่บ้านที่ทางการจัดสรรให้ เพื่อหลีกทางให้กับสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนา
    ผมเดินสำรวจฝั่งหนองเขียวเสร็จแล้วก็กลับไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านแม่สมจัน 2 สาวพูดจีนเดินผ่านมา หนึ่งในนั้นโชว์รูปจากโทรศัพท์มือถือ เมื่อเช้าตรู่พวกเธอปีนผาแดงชั่วโมงครึ่งขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก บางรูปเห็นโค้งน้ำอูช่วงที่ไหลผ่านหนองเขียว โดยมีหมอกบางลอยอยู่เหนือหมู่บ้านและแม่น้ำ ผมไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน จึงไม่รู้ว่านี่คือกิจกรรมสำคัญอันดับ 1 ในการมาเยือนหนองเขียวของนักท่องเที่ยว นอกจากการล่องเรือ เดินป่า ปั่นจักรยาน ตามที่ได้ยินมา  
    ตอนเย็นผมเดินข้ามไปฝั่งหนองเขียวอีกครั้ง เจอคุณยายชาวฝรั่งเศสคนเดิมและคณะอีก 2 คน ผมเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าแกพูดภาษาอังกฤษพอฟังรู้เรื่อง ถามผมว่าปีนขึ้นไปจุดชมวิวบนผาแดงมาหรือยัง เมื่อวานเย็นแกและเพื่อนๆ ปีนขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินมาแล้ว วิวงามเกินบรรยาย
    เหลือเชื่อจริงๆ คะเนแล้วคุณยายฝรั่งเศสอายุต้องไม่ต่ำกว่า 70 ปี แต่เดินขึ้นเขาสูงชันชั่วโมงครึ่งยังไหว แล้วหนุ่มไทยจะเฉยอยู่ได้อย่างไร.

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"