พูดแบบ “ทรัมป์ๆ” จริงบ้างเท็จบ้างไม่เห็นเป็นไร?


เพิ่มเพื่อน    

 

                เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาเกิดเหตุผู้ประท้วงบุกเผาสถานทูตสหรัฐประจำกรุงแบกแดด ทั้งๆ ที่ตั้งอยู่ในเขต Green Zone  เขตรักษาความปลอดภัยสูงสุด มีข้อมูลว่าผู้นำระดับสูงของกลุ่ม Popular Mobilization Forces (PMF) กับ Kata’ib Hezbollah ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ประท้วงด้วย เป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลอิหร่านสนับสนุนกลุ่มเหล่านี้

                ประธานาธิบดีทรัมป์โทษอิหร่านคือตัวการใหญ่ “อิหร่านคือผู้จัดการโจมตีสถานทูตสหรัฐในอิรัก ต้องรับผิดชอบเต็มๆ”  ประกาศจะตอบโต้อย่างสาสม ตามมาด้วยการสังหารนายพลกอซิม สุไลมานี (Qassim Soleimani) ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ (Quds Force) ของอิหร่านที่เป็นองค์กรใหญ่ของพวกที่บุกเผาสถานทูต

                นักวิเคราะห์อเมริกันบางคนเห็นว่าการสังหารนายพลสุไลมานีไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอิหร่าน ไม่ช่วยอะไรทางยุทธศาสตร์ มีแต่ทำให้สถานการณ์ปั่นป่วนกว่าเดิม สวนทางกับที่รัฐบาลทรัมป์เห็นว่าจำเป็น สมควรแล้ว

ศูนย์ปล่อยข่าวปลอมข่าวเท็จ (Fake News Center) :

                จากเหตุดังกล่าวอิหร่านประกาศแก้แค้น ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความว่าเหตุที่สังหารเพราะนายพลสุไลมานีเตรียมโจมตีสถานทูตอีกหลายแห่ง ในเวลาต่อมาชี้แจงเพิ่มว่าจำต้องสังหารทันที เพราะเป็นภัยจวนตัว (imminent) ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้

                แนนซี เพโลซี (Nancy Pelosi) แกนนำพรรคเดโมแครต กล่าวว่า คำสั่งสังหารนายพลกอซิม สุไลมานี เป็นปฏิบัติการทางทหารที่ไม่เหมาะสม ยั่วยุให้สถานการณ์ตึงเครียด รัฐบาลกระทำโดยไม่ปรึกษา

                รัฐสภาก่อนเท่ากับไม่เคารพอำนาจทำสงครามของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ เสนอญัตติจำกัดความเป็นปรปักษ์ทางทหารระหว่างสหรัฐกับอิหร่านให้ไม่เกิน 30 วัน

                ในขณะเดียวกัน สังคมตั้งคำถามว่าการสังหารสุไลมานีสำคัญจำเป็นดังที่รัฐบาลพูดหรือไม่ ผลโพลของ ABC News/Ipsos พบว่าคนอเมริกันร้อยละ 56 ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีที่พูดว่าปฏิบัติการดังกล่าวทำให้อเมริกาปลอดภัยขึ้น ร้อยละ 52 คิดว่าทำให้ประเทศตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม ร้อยละ 32 คิดว่าเสี่ยงทำสงครามเต็มตัวกับอิหร่าน

                เกิดกระแสร้องขอให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลอธิบายเหตุผลความจำเป็น ส.ส. ส.ว. บางท่านเห็นว่าประธานาธิบดีควรเข้ามาชี้แจงเรื่องนี้ในรัฐสภา

                หลายคนย้อนนึกถึงเหตุการณ์ประธานาธิบดีบุชสั่งบุกอิรัก โดยอ้างว่ารัฐบาลซัดดัมมีอาวุธอำนาจทำลายร้ายแรงเป็นภัยร้ายแรงต่ออเมริกา ที่สุดแล้วไม่พบอาวุธเหล่านั้น และรัฐบาลบุชยอมรับว่าข่าวกรองผิดพลาด

                เมื่อเผชิญแรงกดดันให้แสดงหลักฐาน มาร์ค เอสเปอร์ (Mark Esper) รมต.กลาโหม ชี้แจงว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้พูดว่าฝ่ายข่าวกรองให้ข้อมูลว่านายพลสุไลมานีจะโจมตีสถานทูตสหรัฐ 4 แห่ง ทั้งเอสเปอร์กับทรัมป์ “คิดเอาเอง” ว่าสถานทูต 4 แห่งอาจเป็นเป้าโจมตี เป็นข้อสรุปในตัวว่าประธานาธิบดีไม่มีหลักฐาน “คิดเอาเอง” ว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่ก็มีคำถามตามมาอีกว่า ถ้าทรัมป์ไม่มีหลักฐานแน่นหนาทำไมจึงพูดว่าเป็น “ภัยจวนตัว”

                เมื่อกระแสสังคมดังต่อเนื่อง ต้องการให้รัฐบาลแสดงหลักฐาน ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความยืนยันว่าสุไลมานีเป็นภัยจวนตัวจริงๆ แต่ไม่แสดงหลักฐานใดๆ เช่นเคย

                ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงพฤติกรรมเดิมคือพูดไปเรื่อยๆ จริงบ้างเท็จบ้าง และเนื่องจากปราศจากการตรวจสอบ ไม่มีใครหยุดยั้งพฤติกรรมของท่าน จึงมีคำพูดว่าคนนี้เป็นภัยคุกคามจวนตัว จำเป็นต้องจัดการ ผมทำให้คนอเมริกันปลอดภัยขึ้น ผมขอยืนยันหนักแน่น ... ฯลฯ พูดทำนองนี้ไปเรื่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมาแต่ไม่แสดงหลักฐานประกอบคำพูดตัวเอง

                ที่สังคมต้องการคือหลักฐานชี้ว่าสุไลมานีเตรียมโจมตีสถานทูตสหรัฐอีกหลายแห่ง บางคนตีความว่าที่ทรัมป์พูดเรื่องสถานทูตอีก 4 แห่งนั้นเป็นการปั้นน้ำเป็นตัว

                ในเชิงภาพรวม ทรัมป์มีพฤติกรรมพูดถูกๆ ผิดๆ อยู่เสมอ จริงบ้างเท็จบ้าง สื่อ The Washington Post รายงานว่า 3 ปีนับจากเริ่มรับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์พูดเท็จราว 15,000 ครั้งแล้ว

                เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีใครเอาความ กลายเป็นพฤติกรรมที่ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กรณี “การสังหารสุไลมานี” เป็นประเด็นทำให้ “อเมริกาตกอยู่ในอันตราย”

                สุไลมานีไม่เป็นอันตราย แต่การสังหารสุไลมานีทำให้อเมริกาตกอยู่ในอันตราย ... นี่คือกระแสที่เกิดขึ้นในขณะนี้

                อันที่จริงแล้วผู้นำประเทศไม่จำต้องเก่งทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง การทำงานมีระบบรองรับอยู่แล้ว ทำเนียบขาวมีทีมงานหลายร้อยคนที่เชี่ยวชาญทุกด้าน พร้อมรับใช้ประธานาธิบดี ให้ข้อมูล แนวทาง ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าทรัมป์ไม่ชอบใช้บริการจากทำเนียบขาว เอาแต่ใช้ทวิตเตอร์ของตนสื่อข้อความถึงคนอเมริกันและคนทั่วโลกหลายร้อยล้านคนที่ “ติดตาม” ทวิตเตอร์ของท่าน ดังที่ได้นำเสนอในบทความก่อนว่าท่านทวีตทุกสัปดาห์ บางวันหลายครั้งพูดสารพัดเรื่อง ถูกๆ ผิดๆ จริงบ้างเท็จบ้าง ดังที่สื่อจับผิดว่าทรัมป์พูดผิดพูดเท็จอย่างน้อย 15,000 ครั้งแล้ว

                ไม่อาจปฏิเสธว่าทรัมป์ไม่รู้คำวิจารณ์เหล่านี้ .... แต่ท่านยังคงพฤติกรรมเช่นนี้ต่อเนื่อง นำสู่คำถามว่า “ตั้งใจใช่ไหม”

จากภัยคุกคามจวนตัวสู่ยุทธศาสตร์ป้องปราม :

                ในที่สุด ไมค์ พอมเพโอ (Mike Pompeo) รมต.ต่างประเทศ อธิบายว่าการสังหารสุไลมานีเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่าคือเพื่อป้องปราม (to deter) อิหร่าน  รวมทั้งชาติปรปักษ์อย่างรัสเซีย จีน เป็นนโยบายป้องปรามของรัฐบาลชุดนี้ เพื่อปกป้องเสรีภาพ

                จากกระแสสังคมที่ร้องขอให้สอบสวนว่าประธานาธิบดีพูดจริงหรือเท็จ ล่าสุดรัฐบาลทรัมป์ไม่ใช้คำว่าภัยจวนตัวอีก เปลี่ยนเป็นพูดว่าการสังหารสุไลมานีเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องปราม โดยทั่วไปการป้องปรามมีลักษณะหลายอย่างประกอบกัน เช่น การปิดล้อม บั่นทอนให้ศัตรูค่อยๆ อ่อนแรง รวมถึงการชิงลงมือก่อน ต่างจาก “ภัยจวนตัว” ที่มีความเร่งด่วนเร่งรีบ ต้องจัดการทันที ไม่ต้องขออำนาจรัฐสภา

                การที่รัฐบาลทรัมป์เปลี่ยนท่าทีดังกล่าวอาจเป็นวิธีเลี่ยงการสืบสวน ไม่ต้องให้ข้อมูลเรื่อง 4 สถานทูต เนื่องจากการป้องปรามเป็นกิจกรรมที่ต้องดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่ปิดล้อมโซเวียตในสมัยสงครามเย็น หรือที่กำลังปิดล้อมจีนในปัจจุบัน

                ดูเหมือนว่าในที่สุดรัฐบาลหาทางออกจนได้

เป็นผู้นำของชาติมหาอำนาจทำอะไรก็ได้? :

                อีกเหตุผลที่ควรนำมาประกอบคือสหรัฐเป็นชาติมหาอำนาจ มีกองทัพเกรียงไกรหาใครเปรียบมิได้ ที่ผ่านมาใช้ยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้า ขยายและรักษาอิทธิพลทั่วโลกเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ให้มากที่สุด ถ้าจำเป็นจะใช้กำลัง ถือยุทธศาสตร์ชิงลงมือก่อน เหล่านี้เป็นเหตุผลทำให้ผู้นำประเทศสหรัฐมักแสดงท่าทีแข็งกร้าว ข่มขู่ใช้กำลังหรือใช้มาตรการลงโทษทางการค้าเศรษฐกิจอยู่เสมอ

                การข่มขู่ใช้กำลังกับอิหร่าน หรือกรณีสังหารนายพลสุไลมานี คือตัวอย่างล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ลงมือสั่งฆ่าด้วยเหตุผลเดิมๆ คือ “เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ” ทำให้อเมริกาปลอดภัยกว่าเดิม เพื่อเสรีประชาธิปไตย

                แท้จริงแล้วรัฐบาลสหรัฐไม่ว่าจะชุดนี้หรือชุดก่อนต่างใช้เครื่องบินไร้พลขับ หรือเครื่องโดรนสังหารผู้ก่อการร้ายมากต่อมากแล้ว เป็นภารกิจที่ทำในต่างประเทศ แต่หลายครั้งพบว่าผิดพลาด เช่น ทิ้งระเบิดลงกลางพิธีแต่งงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้าย แต่ที่สุดไม่มีใครเอาผิดได้ การจัดการสุไลมานีด้วยเครื่องโดรนเป็นอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น

                มองในแง่มุมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สหรัฐเป็นประเทศที่ราวกับว่าทำอะไรก็ได้ เมื่อรวมกับประธานาธิบดีทรัมป์ การพูดแบบ “ทรัมป์ๆ” จริงบ้างเท็จบ้างไม่เห็นเป็นไร?.

 

----------------------------

ภาพ : ปกป้องประเทศของเรา

ที่มา : https://www.facebook.com/DonaldTrump/photos/a.488852220724/10163646655980725/?type=3&theater

-------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"