
เปิดมาปีใหม่เราเจอกับปัญหาสารพัดสารพันทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนเรียกได้ว่าเราอยู่ในสภาพ Perfect Storm
เพราะพายุถาโถมมาจากทุกทิศทุกทาง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝุ่น PM2.5
ภัยแล้งหนักหน่วง
งบประมาณปีใหม่ชะงัก
บาทแข็งโป๊ก
สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
และล่าสุดการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่
นี่เพิ่งเดือนมกราคมของปีเท่านั้นก็ต้องเผชิญกับ "ความท้าทาย" อันหนักหนาสากรรจ์เช่นนี้แล้ว
ภูมิต้านทานของประเทศเองก็ไม่ใคร่จะแข็งแรงเท่าไหร่นัก เจอกับพายุหนักมาจากหลายทิศทางอย่างนี้เท่ากับพิสูจน์ความสามารถของผู้บริหารประเทศ ที่ยังอยู่ในภาวะที่มีคำถามว่าจะตั้งหลักรับวิกฤติได้ทันท่วงทีหรือไม่
อาการที่เห็น ณ วันนี้ก็ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วง เพราะมีปัญหาตั้งแต่ความไม่ชัดเจนของทิศทางการแก้ปัญหาในแต่ละเรื่อง
ความยากที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ ความสลับซับซ้อนของปัญหาแต่ละเรื่องที่ไม่เคยมีตัวอย่างเป็นคำตอบสำเร็จรูปให้เลียนแบบเหมือนแต่ก่อน
ผู้บริหารตระหนักหรือไม่ว่าทุกปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ล้วนแล้วแต่มีปัจจัยใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นเพราะการเมืองของมหาอำนาจปรับเปลี่ยนอย่างหนัก
ปัจจัยเทคโนโลยีที่เพิ่มความยากสำหรับผู้นำที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ป่วน" หรือ disruption อีกทั้งไม่ยอมรับความจริงว่าเมื่อตนไม่เข้าใจแล้วก็ยังไม่เรียนรู้ และไม่เปิดทางให้คนที่มีความรู้และประสบการณ์เข้ามาร่วมวงการระดมความคิดเพื่อแก้ปัญหา
อุปสรรคที่ร้ายแรงอีกข้อหนึ่งคือ การขาดการ "บูรณาการ" และความเป็น "เอกภาพ" ของการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อหาทางแก้ที่มีประสิทธิภาพ
เรื่อง PM2.5 และภัยแล้งเป็นเพียงสองตัวอย่างชัดๆ ที่สะท้อนว่า ระบบการบริหารประเทศและระบบราชการของไทยวันนี้ล้าหลังคร่ำครึเกินกว่าที่จะตั้งรับกับวิกฤติของยุคสมัยแห่งวิบัติระดับโลกเรื่องโลกร้อน โรคระบาด และความขัดแย้งทางการเมืองและการค้าอย่างที่เราประสบอยู่วันนี้ได้อีกต่อได้
หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำมีไม่ต่ำกว่า 36 หน่วยงาน ที่กระจายตัวอยู่ในกระทรวง ทบวง กรมทั้งหลาย
กลไกรัฐที่ว่าด้วยการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศมีอยู่ในหน่วยงานรัฐเกินกว่าสิบหน่วย
แต่ละหน่วยงานก็มีเป้าหมาย วิธีคิด งบประมาณ และทัศนคติต่อปัญหาและทางแก้ไปกันคนละทาง ทั้งๆ ที่ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่มีการ "กลายพันธุ์" อย่างต่อเนื่อง สูตรการแก้ปัญหาเดิมๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
แต่ในทางปฏิบัตินั้น ผู้บริหารกรมกองทั้งหลายตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีลงไปถึงพนักงานระดับท้องถิ่นไม่ได้มองปัญหาในทางเดียวกัน อีกทั้งวัฒนธรรมการทำงานแบบไทยๆ ดั้งเดิมก็ยังทำให้การคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหานั้นถูกสกัดกั้นตั้งแต่ต้นทาง
รัฐมนตรีต่างกระทรวงไม่บูรณาการกันอย่างแท้จริง (ปากว่าประชุมร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติต่างฝ่ายต่างมีแนวทางของตัวเอง) ยิ่งมีเรื่อง "งบประมาณใครงบประมาณมัน" เป็นตัวกำหนดแผนงานและความเร่งด่วนของกิจกรรมแต่ละหน่วยงานด้วยแล้ว การแก้ปัญหาก็พบกับทางตันอย่างที่เราเห็นกันอยู่วันนี้
หน่วยงานหลักที่แก้ปัญหาเหล่านี้มีหน้าที่หลักเพียงแค่รวบรวมข้อมูลและประสานงาน แต่ไม่มีอำนาจสั่งการเพราะต้องรอให้รัฐมนตรีตัดสิน และเมื่อรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงวาง "ลำดับความสำคัญ" ของแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน เราจึงมีคำถามตลอดเวลาว่า
"ใครกำลังทำอะไรอยู่"
เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องตั้ง "คณะกรรมการระดับชาติ" โดยให้นายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ และไปๆ มาๆ นายกฯ ก็ต้องเป็นประธานในคณะกรรมการระดับชาติทั้งหลาย ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
เพราะนายกฯ ก็ต้องให้รัฐมนตรีทั้งหลายเสนอทางออก เมื่อรัฐมนตรีและลูกทีมไม่สุมหัวคุยกันอย่างจริงจัง นายกฯ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะบ่นเสียงดังๆ เกือบจะเป็นรายการประจำวันว่า ประชาชนไม่เข้าใจ ประชาชนใจร้อน ประชาชนไม่ร่วมมือและไม่เชื่อถือรัฐบาล
จึงกลายเป็น "วิกฤติแห่งการบริหารวิกฤติ".
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |