
ผมเอา 4 ภาพนี้มาเล่าเรื่องเบื้องหลังของประเด็นเรื่อง “สหรัฐฯ กับการใส่หน้ากากและไม่ใส่หน้ากากป้องกันโควิด-19” ให้ได้รับรู้ว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปน่าสนใจอย่างไร
ภาพแรกคือวันที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ไมเคิล ดี ซอมเบร ไปพบรองนายกรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ท่านทูตไม่ใส่หน้ากาก มิหนำซ้ำยังยื่นมือไปจับคุณสมคิด
คุณสมคิดทำท่าอึกอัก เพราะเป็นที่รู้กันว่าทุกคนควรสวมหน้ากาก และการทักทายไม่ควรจะเป็นการจับมือถือแขนกันแล้ว
แต่รองนายกฯ ของเราคงจะเกรงใจ จึงยื่นมือไปจับด้วยอาการลังเลพอสมควร

ภาพอื่นๆ ของกิจกรรมวันนั้นก็เห็นท่านทูตนั่งลงปรึกษาหารือกับคุณสมคิดและทีมงานของท่าน ทุกคนใส่หน้ากาก
บางภาพที่มีคนส่งมาให้เห็นท่านทูตสหรัฐฯ ใส่หน้ากากบางจังหวะ แต่ภาพส่วนใหญ่ไม่เห็นท่านทูตใส่หน้ากากแต่อย่างไร
ภาพที่ไปปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ของการพบปะวันนั้นก็ไม่เห็นท่านทูตใส่หน้ากาก
ภาพต่อมาเป็นงานวันชาติสหรัฐฯ อเมริกา จัดที่ทำเนียบบ้านทูตที่ถนนวิทยุ
จะเห็นว่าท่านทูตกล่าวคำปราศรัยโดยไม่ได้ใส่หน้ากาก ที่น่าสังเกตกว่านั้นก็คือแขกเหรื่อ ซึ่งมีผู้ใหญ่ของไทยมากหน้าหลายตา ต่างก็ไม่ใส่หน้ากากเลย
คงเป็นเพราะเกรงใจเจ้าภาพที่ไม่ใส่หน้ากากจนกลายเป็นหลักปฏิบัติกระมัง
รวมไปถึงคุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีสาธารณสุข ก็ไปร่วมงานนี้โดยไม่ได้ใส่หน้ากากเหมือนกัน
ท่านคงจะเกรงใจเจ้าภาพ หากใส่หน้ากาก อาจเหมือนทำตัวแปลกแยก เพราะที่อเมริกา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ใส่หน้ากาก ท่านทูตสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มไปทางนั้นเหมือนกัน
คุณอนุทินจึงต้องยอมสารภาพกับนักข่าวว่า “ผมการ์ดตกไปชั่วคราว จะไม่ทำอย่างนี้อีก”
หลังจากนั้นก็มีข่าวรอดออกมาจากแหล่งข่าวใน ศบค. ว่าผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ และคณะจะมาเยือนไทย
และจะขอไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจโควิดปกติและไม่ต้องกักตัว 14 วัน
คนบางคนใน ศบค.รู้สึกอึดอัด ไม่ต้องการให้สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างไม่ดี จึงไปบ่นให้สื่อบางคนฟัง
อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีคนติดเชื้อโควิดอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย
จากนั้นไทยพีบีเอสก็ออกข่าวของ “ความอึดอัด” นั้น
ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียร้อนแรงพอสมควร
ผ่านไปสองสามวันก็มีคำยืนยันจากรัฐบาลว่าจะไม่มีการยกเว้นให้ผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ และคณะ จะทำตามขั้นตอนของไทยเราอย่างเคร่งครัด
วันต่อมาก็มีภาพท่านทูตสหรัฐฯ ไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อขอพบรองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ
คราวนี้ท่านใส่หน้ากากเต็มที่ พร้อมกับทักทายผู้คนด้วยการไหว้ ไม่ยื่นมือ shake hands อย่างที่ทำกับคุณสมคิดวันก่อนหน้านั้น

วันเดียวกันนั้นเอง ผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ และคณะก็ลงมาถึงสนามบินทหารของไทยและผ่านขั้นตอนการตรวจอย่างเรียบร้อย
พร้อมกับอนุญาตให้ช่างภาพของกองทัพบกถ่ายรูปและวิดีโอคลิปเผยแพร่ให้คนไทยได้ทราบโดยทั่วกัน
ข้อความประชาสัมพันธ์จากกองทัพบกของไทยเราเรียกรูปที่ ผบ.ทบ.ยอมให้ “จิ้มจมูก” เพื่อตรวจว่าเป็น

“ภาพประวัติศาสตร์”
ส่วนหนึ่งของข่าวแจกวันนั้นบอกว่า “ผบ.ทบ.สหรัฐฯ รับตรวจ Nasopharyngeal Swab COVID-19 Test ณ ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ดอนเมือง
โดยผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ เดินทางไปให้การต้อนรับด้วยตนเอง พร้อมทั้งได้ให้ข้อมูลถึงมาตรการของไทยเกี่ยวกับการต้อนรับแขกต่างประเทศที่มาเยือนไทย
โดยคณะ ผบ.ทบ.สหรัฐฯ ถือเป็นแขกต่างประเทศคณะแรกที่มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะถือเป็นมาตรฐานและแนวทางการต้อนรับคณะแขกต่างประเทศในโอกาสต่อๆ ไปด้วย
“ทั้งนี้ ทาง ผบ.ทบ.สหรัฐฯ Gen James C. McConville และคณะ ได้ชื่นชมมาตรการป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาลไทย พร้อมอนุญาตให้เผยแพร่ภาพ SWAB TEST ซึ่งถือว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
ในข่าวบอกด้วยว่าผู้บัญชาการทหารบกไทยและสหรัฐฯ ทักทายกันด้วยการเอาข้อศอกชนกัน (elbow bum) แทนที่จะจับมือ (shake hands) อีกด้วย
ในโอกาสนี้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วย “วิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์” หรือ Strategic Vision Statement ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ ด้วย
เพราะอีกไม่กี่วันจะมีแถลงการณ์ของสหรัฐฯ ว่าด้วยจุดยืนของวอชิงตันเกี่ยวกับทะเลจีนใต้
เรื่องหน้ากากโควิดกับทะเลจีนใต้เกี่ยวโยงกันอย่างไร วันหน้ามาวิเคราะห์ให้ได้อ่านกันต่อครับ.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |