'พิชัย' ชี้ความจริง 9 ข้อ 'บิ๊กตู่' เสื่อมหนักจนต้องเดินสายพบสื่อให้เขียนเชียร์ตัวเอง


เพิ่มเพื่อน    

16 ก.ค.63 - นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ 4 กุมาร คือ นาย อุตตม สาวนายน นาย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมฆินทรีย์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ตามกระแสกดดันจากพรรคพลังประชารัฐ จึงเปิดโอกาสให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ได้เร่งปรับ ครม.โดยเร็ว ต้องหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และ เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งมีความเข้าใจระบบการเมืองไทยเข้ามารับตำแหน่งโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ต้องย่ำแย่ลงไปอีก

นายพิชัย กล่าวว่าถึงกระนั้นก็ยังมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูงและอาจเสียคนได้ เหมือนที่นายสมคิดเสียคน จากปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมมาตลอด 6 ปี แล้วยังมาเจอปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดซ้ำเติมให้หนักขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับ ครม.เศรษฐกิจครั้งนี้ ยังเท่ากับพลเอกประยุทธ์ยอมรับความล้มเหลวในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจมาตลอด 6 ปี อีกทั้งการปรับ ครม. ครั้งนี้ น่าจะสร้างความขัดแย้งกันอย่างหนักในพรรคพลังประชารัฐ จากแกนนำที่ผิดหวังจากตำแหน่งที่คาดหมาย และอาจนำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาลได้

ทั้งนี้ การที่พลเอกประยุทธ์ได้เดินทางเข้าพบสื่อสำนักต่างๆ ทั้งที่ตลอด 6 ปีไม่เคยทำมาก่อน น่าจะเป็นเพราะทราบดีว่าความนิยมของตัวพลเอกประยุทธ์เองมีความเสื่อมถอยลงอย่างมาก ดังนั้นการเข้าพบสื่อสำนักต่างๆนี้ พลเอกประยุทธ์น่าจะได้รับข้อมูลจริงที่สำคัญ 9 ข้อดังนี้

1.ความนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์เสื่อมถอยลงจริง และ เสื่อมถอยหนักมาก เพราะตลอด 6 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีผลงานให้ประชาชนจับต้องได้ เศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างมาก ประกอบกับการที่รัฐบาลอยู่มานานเป็นปกติที่ประชาชนจะเบื่อหน่ายอยู่แล้ว หากจำกันได้ในสมัยพลเอกเปรมก็มีลักษณะคล้ายกัน ทั้งที่ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม มีผลงานมากกว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างมาก แต่คนก็ยังเบื่อ ดังนั้น คนจะเบื่อพลเอกประยุทธ์มากกว่าหลายเท่า ขนาดพลเอกประยุทธ์ลงพื้นที่จังหวัดระยองคนยังไม่พอใจกันอย่างมาก รูปชายหนุ่ม 2 คนชูป้ายต่อว่า มีการกระจายกันในโซเชียลเป็นจำนวนมาก และเมื่อตำรวจไปจับก็ยิ่งเป็นประเด็นใหญ่

2.เศรษฐกิจไทยย่ำแย่อย่างมาก ประชาชนเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเลือดตาแทบกระเด็น ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดตั้งแต่ก่อนมีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ทั้งนี้เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่มีความรู้ความเข้าใจทางเศรษฐกิจเลย ขนาดนายสมคิดยังยอมรับเองว่าถอดใจมาหลายปีแล้ว น่าจะแสดงว่ารู้ตัวแล้วว่าบริหารเศรษฐกิจล้มเหลวมาตลอดแต่แก้ตัวแบบมั่วๆเพื่อเอาตัวรอดไปในแต่ละปี พอมาเจอวิกฤตการณ์โควิด สถานการณ์เลยยิ่งทรุดหนักจนเดือดร้อนกันไปทั่ว

3.การปรับ ครม. ที่จะเกิดขึ้น จะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่พลเอกประยุทธ์จะพิสูจน์ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาประเทศได้หรือไม่ ถ้าหากประสบความล้มเหลวอีก ประชาชนคงไม่ให้โอกาสพลเอกประยุทธ์ในการบริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว

4.ความผิดซ้ำซ้อน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปล่อยให้มีการแพร่ไวรัสที่สนามมวยที่เป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายครั้งแรก ต้องล็อกดาวน์กัน ทำความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และต่อมาก็ยังปล่อยให้มีการแพร่กระจายจากทหารอียิปต์ที่ใช้สิทธิพิเศษไม่ต้องกักตัว ซึ่งอาจจะเกิดการลุกลามของการแพร่กระจายไวรัสได้ สิทธิพิเศษต้องหมดไปและ ต้องไม่มีการยกเว้น เพราะไวรัสไม่ยกเว้นใคร ทุกคนมีโอกาสติดกันได้หมด

5.การข่มขู่ว่าจะล็อกดาวน์ ปิดเมือง ทั้งที่เป็นความผิดพลาดของภาครัฐในการปล่อยให้เกิดการกระจายไวรัสของอภิสิทธิ์ชน จะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน และจะทำลายเศรษฐกิจให้ยิ่งย่อยยับได้ หลายคนถึงกับบอกว่าถ้าล็อกดาวน์อีกคงไม่มีการทำงานจากบ้าน (Work from Home) แล้ว เพราะคงไม่มีบ้านเหลือแล้ว ถ้าไม่ต้องขายบ้านก็คงถูกยึดบ้านแน่ เพราะคงไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านแล้ว

6.เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ยากมาก เพราะไทยขาดการลงทุนภาคเอกชนมาตลอด 6 ปี เพราะรัฐบาลจากระบอบเผด็จการไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ ดังนั้นรัฐบาลจะพึ่งเครื่องจักรเศรษฐกิจใดที่จะฟื้นเศรษฐกิจ ในเมื่อการท่องเที่ยวปีหน้าก็คงยังไม่ฟื้นถึงครึ่งหนึ่งของก่อนมีการแพร่ระบาดของไวรัส การส่งออกก็ลดลงมาจากการลงทุนที่ลดลง อุตสาหกรรมที่ล้าสมัย และเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่   การบริโภคของประชาชนก็ลดลงตามรายได้ที่ลดลง แถมการใช้จ่ายภาครัฐยังสะเปะสะปะเหมือนการจัดงบประมาณปี 64 และ การใช้เงิน 4 แสนล้าน ที่ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจจริง อีกทั้งการจะใช้เวลา 2-3 ปีถึงจะกลับมาสู่ที่เก่าได้ ทั้งๆที่ที่เก่าก็เป็นเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร

7.ความไม่พอใจของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่มีต่อรัฐบาลจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากแฟลชม็อบต้องเว้นไปหลังเกิดโควิด ซึ่งอาจจะนำมาสู่การแสดงออกถึงความไม่พอใจครั้งใหญ่ในไม่ช้า และจะมีแนวร่วมจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและคนตกงาน 8-10 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไข และป้องกัน การคง พรก. ฉุกเฉิน ไม่ได้แก้ปัญหาแต่กลับจะยิ่งทำให้ปัญหาเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจ

8.การหาจุดสมดุลระหว่างการป้องกันการระบาดไวรัสและการดำเนินการทางเศรษฐกิจ ในระยะแรกที่เรายังไม่รู้ลักษณะของไวรัสและการระบาด อาจจะมีความจำเป็นต้องล็อกดาวน์ แต่ในตอนนี้ที่มีข้อมูลของไวรัสและการระบาดค่อนข้างละเอียดแล้ว การต้องส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นมากที่สุดเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนภายใต้ข้อจำกัดที่ต้องควบคุมการระบาดด้วย ทั้งนี้เพราะปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องใหญ่ และอาจจะฆ่าประชาชนในจำนวนที่มากกว่าไวรัสมาก หากรัฐบาลไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ และจะมีคนตกงานกันหลายล้านคนตามที่คาดกัน

9.อย่าหลงเชื่อ คนเอาใจ สื่อเอียงข้าง หรือโพลที่ออกมาอวย โดยไม่ได้ดูความเป็นจริงว่าสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมือง และ สังคม ของประเทศได้ทรุดโทรม เสื่อมถอยลงมากขนาดไหน ถ้ายังจะเข้าข้างตัวเองโดยไม่ลืมหูลืมตา สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีก

ความจริงทั้ง 9 ข้อนี้น่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่พลเอกประยุทธ์ควรจะต้องได้รับจากการพบสื่อมวลชน หากพลเอกประยุทธ์ไม่เลือกจะรับฟังเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น หรือ ไปเพื่อจะขอให้สื่อช่วยเชียร์ตัวเองเท่านั้น ซึ่งสื่อเองคงไม่สามารถเชียร์สวนกับความเป็นจริงและสวนความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อสภาวะการณ์ที่ย่ำแย่อย่างหนักที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ โดยพลเอกประยุทธ์ควรนำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข พร้อมไปกับการปรับ ครม. ครั้งนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสายเกินไปแล้วหรือไม่ เพราะความล้มเหลวอาจจะเกินเยียวยาแล้ว


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"