คลังเตรียมชงศบศ.เคาะมาตรการกระตุ้นศก.ระยะสั้น


เพิ่มเพื่อน    

 

2 ต.ค. 2563 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงการคลังว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเตรียมหารือกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปในรายละเอียดก่อนเสนอให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน พิจารณาในวันที่ 7 ต.ค. นี้

ทั้งนี้ แนวทางเบื้องต้นของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะเน้นให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการหรือกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีความชัดเจน และถูกฝาถูกตัวมากขึ้น เพื่อให้ผลที่ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด

“เห็นควรว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาจะต้องชัดเจน ถูกฝาถูกตัวมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเคยทำมาแล้ว ในเรื่องบุคคลธรรมดา คลังก็พยายามออกแบบหลายมาตรการให้ถูกฝาถูกตัว เพราะเป้าหมายหลักคือต้องการดูแลเศรษฐกิจในหลาย ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี งบประมาณ รายจ่าย สินเชื่อ โดยที่ผ่านมาแนวโน้มเศรษฐกิจก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการช่วยเหลือผู้ประกอบการหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่จะทำหลังจากนี้ต้องเริ่มทำให้ถูกฝาถูกตัว ก็ได้มีการเชิญหน่วยงานต่าง ๆ มาหารือ เพื่อให้ สศค.นำแนวทางทั้งหมดไปวางแผนให้ชัดเจนเพื่อดำเนินการในระยะต่อไป ไม่เพียงระยะสั้น แต่ยังมองระยะกลาง และระยะยาวด้วยว่าควรจะมีมาตรการอะไรบ้าง ซึ่งการประชุมกันในวันนี้เพื่อนำข้อเสนอแนะจากทุกหน่วยงานมาพิจารณาการทำมาตรการของกระทรวงการคลังที่ออกมาจะต้องเดินหน้าได้จริง ไม่ฝัน ทำแล้วต้องเห็นผลอย่างแท้จริง” นายกฤษฎา กล่าว

นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า ได้หารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยืนยันชัดเจนว่าแผนการกู้เงินของรัฐบาลในช่วง 5 ปี จะไม่ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศขยายตัวเกิน 60% ของจีดีพี โดยจากประมาณการพบว่าสูงสุดจะอยู่ที่ 57% ของจีดีพีเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง และกรอบความยั่งยืนทางการคลังตลอด 5 ปีจากนี้ ส่วนงบประมาณขาดดุลจะอยู่ที่ไม่เกิน 3% ของจีดีพี ซึ่งใกล้เคียงกับระดับปกติที่ผ่านมาที่งบประมาณขาดดุลจะอยู่ที่ 2.8-2.9% ของจีดีพี

ขณะที่ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2564 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.67 ล้านล้านบาท ภายใต้ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2564 ที่ สศค. ประเมินว่าจะขยายตัวที่ 4-5% โดยทุกหน่วยงานยืนยันว่าสามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะมีขั้นตอน วิธีการที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว แม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่าปีงบประมาณ 2564 จะเป็นปีที่ยากลำบากในเรื่องการจัดเก็บ แต่ผู้บริหารกระทรวงการคลังยืนยันการจัดเก็บรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายแน่นอน ส่วนการเบิกจ่าย ได้พยายามเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการ ทั้งรัฐวิสาหกิจ และส่วนราชการทั้งหมด เพื่อรักษาบทบาทของภาครัฐในการเป็นผู้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ


“ไม่คุยเรื่องการปรับเป้าหมาย หรือลดเป้าหมายการจัดเก็บ ทุกอย่างต้องเดินหน้าตามเอกสารงบประมาณ ตอนนี้สิ่งที่คลังพยายามทำคือ ดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปได้ตามแผน เพราะตัวเลขรายได้ในปีงบประมาณ 2564 ก็ต่ำกว่าตัวเลขการจัดเก็บจริงในปีงบประมาณ 2562 อยู่แล้ว ส่วนปีงบประมาณ 2563 คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีเหตุเข้ามากระทบ โดยปีงบประมาณ 2564 สศค.เองก็มองว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น หากเศรษฐกิจโตได้อย่างที่คิด ก็มีโอกาสและความเป็นไปได้สูงที่จะทำได้ตามเป้าหมาย ซึ่งวันนี้คลังมาคุยกัน ต้องทำงานเป็นทีมคลัง ไม่ใช่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง มาปรึกษากันเพื่อให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน ทุกอย่างต้องเป็นรูปธรรมมากขึ้น ก็หวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาหลังจากนี้จะทำให้การทำงานของคลังราบรื่นขึ้น” นายกฤษฎา กล่าว

อย่างไรก็ดี ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พร้อมทำงานกับทุกคนที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่ง รมว.การคลัง หลังมีกระแสข่าวว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีต รมว.คมนาคม จะมาดำรงตำแหน่ง รมว.การคลัง พร้อมระบุว่า เชื่อว่าบุคคลที่จะเข้ามานั่งเป็น รมว.การคลังหลังจากนี้ เป็นบุคคลที่มีความสามารถ ซึ่งในส่วนของนายอาคมเอง ก็เป็นบุคคลที่มีความเข้าใจด้านเศรษฐกิจและใกล้ชิดกับภาคเอกชนด้วย


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"