ดีเบตรอบสุดท้ายวันนี้ : ปิดไมค์!


เพิ่มเพื่อน    

           เช้าวันนี้ (วันศุกร์) เวลาบ้านเรา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้ท้าชิงโจ ไบเดน จะปะทะคารมกันเป็นรอบที่ 2 และรอบสุดท้าย

                ก่อนที่คนอเมริกันจะไปหย่อนบัตรเลือกตั้งเพื่อตัดสินชะตากรรมทางการเมืองวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้

                เหลือเพียง 11 วันเท่านั้น คนทั้งโลกก็จะรู้แล้วว่าการเมืองอเมริกันจะพลิกไปทางไหน

                ไม่ว่าผลการเลือกตั้งของสหรัฐจะออกมาอย่างไร โลกทั้งโลกก็ต้องปรับตัวให้ทันกับความไม่แน่นอนระดับสากล

                เพราะสมการการเมืองโลกกำลังจะมีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญเมื่อสหรัฐกับจีนกำลังเผชิญหน้ากันอย่างไม่ลดละ

                หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง กลับทำเนียบขาวเป็นรอบที่ 2 ความตึงเครียดระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ก็จะหนักหน่วงขึ้นในรูปแบบที่เราจะคาดคิดไม่ถึง

                หากไบเดนโค่นทรัมป์สำเร็จ ทิศทางนโยบายของสหรัฐต่อจีนก็คงเปลี่ยนเฉพาะรูปแบบ แต่เนื้อหาลึกๆ แล้วไม่ว่าใครมาเป็นผู้นำสหรัฐก็จะต้องสกัดการเติบใหญ่ของจีนอยู่ดี

                ดังนั้นเราควรจะต้องตั้งหลักให้มั่น เข้าใจความเป็นไปของ 2 ประเทศนี้อย่างลึกซึ้ง และวางยุทธศาสตร์ของเราเองให้แม่นและต่อเนื่อง

                เพราะไม่มีใครบอกได้ว่าโควิดจะยุติเมื่อไหร่ หรือจะค้นพบวัคซีนที่ใช้ได้ผลจริงจังเดือนไหนปีไหน

                แต่เศรษฐกิจโลกยังฟุบต่อเนื่อง แต่ผลกระทบและอัตราการฟื้นตัวของแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน

                จีนประกาศแล้วว่าในไตรมาส 3 ของปีนี้นั้น จีดีพีหรือผลผลิตมวลรวมของจีนบวก 4.9%

                ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า จีนเป็นประเทศเดียวในโลกท่ามกลางวิกฤติโควิดที่เศรษฐกิจไม่ติดลบ

                มิหนำซ้ำยังสามารถทำให้เศรษฐกิจภาพรวมบวกได้ใกล้ๆ กับบวก 5%

                เมื่อเปรียบกับก่อนโควิดที่อัตราโตของเศรษฐกิจจีนอยู่ที่ 6% แล้ว ก็หมายความว่าการฟื้นตัวของจีนมีความแข็งแกร่งไม่น้อย

                โดยอัตราทั้งปีแล้ว เศรษฐกิจของจีนก็ยังน่าจะบวกได้ 2-3% ซึ่งต้องถือว่าเป็นการแสดงถึงความสามารถในการบริหารวิกฤติโรคระบาดกับเศรษฐกิจพร้อมๆ กันได้อย่างน่าทึ่ง

                ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังติดลบอยู่ค่อนข้างแน่นอน ทั้งปีก็อาจจะติดลบได้พอๆ กับที่จีนเป็นบวกนั่นแหละ

                สะท้อนว่าผู้นำของ 2 ประเทศนี้มีฝีมือทางด้านการบริหารบ้านเมืองในยามวิกฤตินั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

                การโต้อภิปรายระหว่างทรัมป์กับผู้ท้าชิงจะมีขึ้นที่เมือง Nashville โดยมีพิธีกรชื่อ Kristen Welker แห่ง NBC News

                การดีเบตระหว่างทรัมป์กับไบเดนเช้านี้จะมีความร้อนแรงเพียงใด อยู่ที่ว่าทั้ง 2 คนจะยอมทำตามกติกาเคร่งครัดมากน้อยเท่าไหร่ด้วย

                หัวข้อหลักที่พิธีกรตั้ง 6 ข้อนั้นเป็นเรื่องโลกร้อน, ครอบครัว, โรคระบาด, ความมั่นคง, ความเป็นผู้นำและปัญหาสีผิว

                ทรัมป์โวยตั้งแต่ต้นแล้วว่าพิธีกรคนนี้มีอคติต่อเขา และหัวข้อที่ตั้งก็ไม่มีเรื่องนโยบายต่างประเทศ

                อีกทั้งคณะกรรมการที่จัดการดีเบตครั้งนี้ประกาศกติกาใหม่คือ ระหว่างที่คนหนึ่งคนใดพูดในหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย 2 นาทีต่อช่วงนั้น พิธีกรจะปิดไมโครโฟนของอีกคนหนึ่ง

                เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาของการแย่งพูดหรือพูดแทรกระหว่างที่อีกคนหนึ่งกำลังแสดงวิสัยทัศน์อยู่

                เหมือนกับที่เกิดมาแล้วในการดีเบตครั้งที่แล้ว

                จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก...ทำนองว่าทั้ง 2 คนไร้มารยาท และทำให้บรรยากาศของการเมืองแบบมีอารยะนั้นเสียหายอย่างใหญ่หลวง

                แต่ในช่วง 15 นาทีหลังจากที่ทั้ง 2 คนได้แสดงจุดยืนในแต่ละหัวข้อแล้ว พิธีกรก็จะเปิดไมโครโฟนของทั้ง 2 คนเพื่อให้ “ลุยกันแหลก” ได้

                ผมเชื่อว่าบรรยากาศการโต้วาทะรอบสุดท้ายนี้จะร้อนแน่นอน เพราะทรัมป์เห็นโพลช่วงหลังนี้เกือบทุกสำนักให้ไบเดนนำห่างขึ้นทุกที

                และไบเดนก็ประมาทไม่ได้ เพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าทรัมป์จะโยน “ระเบิดปรมาณู” อะไรใส่เขาในนาทีสุดท้ายหรือไม่!.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"