รัฐบาลจีนประกาศจะแซงก์ชันบริษัทอเมริกันทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงขายอาวุธมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ไต้หวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งรวมถึงบริษัท ล็อกฮีดมาร์ติน และบริษัทของโบอิ้ง

แฟ้มภาพ จ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน

    เอเอฟพีรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ได้ตัดสินใจอนุมัติขายอาวุธแก่ไต้หวัน ซึ่งรวมถึงมิสไซล์ครูซนำวิถี SLAM-ER ชนิดยิงจากอากาศสู่พื้น 135 ลูก, กระเปาะลาดตระเวนทางอากาศ MS-10 จำนวน 6 ตัว และเครื่องยิงจรวดเบาเคลื่อนที่ M142 อีก 11 หน่วย มูลค่ารวม 1,800 ล้านดอลลาร์ หรือราว 56,270 ล้านบาท

    คำแถลงของสหรัฐกล่าวว่า มิสไซล์ SLAM-ER จะช่วยให้ไต้หวัน "รับมือกับภัยคุกคามในปัจจุบันและอนาคตได้ เนื่องจากมีขีดความสามารถในการโจมตีที่แม่นยำในทุกสภาพอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งกับเป้าหมายที่เคลื่อนที่หรืออยู่กับที่" บนพื้นดินหรือพื้นผิวมหาสมุทร ขณะที่กระทรวงกลาโหมไต้หวันกล่าวว่า อาวุธเหล่านี้จะช่วยให้ไต้หวันสร้างขีดความสามารถในการสู้รบที่น่าเชื่อถือ และเสริมสร้างการพัฒนาของการรบแบบอสมมาตร แต่รัฐบาลจีนประณามสหรัฐว่าละเมิดข้อตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตที่สองฝ่ายลงนามกันไว้ในทศวรรษ 1970 พร้อมขู่ว่าจะตอบโต้

    เมื่อวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 จ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงที่กรุงปักกิ่งว่า จีนจะแซงก์ชันบริษัทอาวุธที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงขายอาวุธเหล่านี้ ซึ่งรวมถึง บริษัท ล็อกฮีดมาร์ติน, บริษัท โบอิ้งดีเฟนซ์ และบริษัท เรย์เธียน แต่เขายังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด

    "เพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติของเรา จีนตัดสินใจดำเนินมาตรการที่จำเป็น และลงโทษบริษัทสหรัฐหลายแห่ง เช่น ล็อกฮีดมาร์ติน, โบอิ้งดีเฟนซ์ และเรย์เธียน กับบรรดาบุคคลและบริษัทที่ประพฤติตัวแย่ๆ ในกระบวนการขายอาวุธนี้" จ้าวกล่าว

    ในอดีต จีนก็เคยลงโทษบริษัทสหรัฐหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงล็อกฮีดมาร์ติน โทษฐานที่ขายอาวุธให้แก่ไต้หวันซึ่งจีนถือว่าเป็นดินแดนของตนและพร้อมจะใช้กำลังผนวกหากจำเป็น แม้จะไม่มีความชัดเจนว่าจีนลงโทษอย่างไร

    รายงานรอยเตอร์กล่าวว่า โฆษกของบริษัทโบอิ้งชี้แจงทางอีเมลว่า ความเป็นหุ้นส่วนของบริษัทกับประชาคมด้านการบินของจีนนั้นมผลประโยชน์ระยะยาวและโบอิ้งยังยึดมั่นเช่นนั้นต่อไป ส่วนล็อกฮีดมาร์ตินและเรย์เธียนยังไม่มีท่าที.