ปลื้มปีติ เผยเบื้องหลังภาพประวัติศาสตร์ 'ในหลวง-ราชินี' ทรงพระดำเนินเยี่ยมพสกนิกร


เพิ่มเพื่อน    

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก วสันต์ วณิชชากร

1 พ.ย.63 - นายวสันต์ วณิชชากร ช่างภาพมืออาชีพ โพสต์เฟซบุ๊กถ่ายทอดเรื่องราวเบื้องหลังการถ่ายภาพพระราชพิธีด้วยความซาบซึ้งประทับใจ ว่า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2563 Behind the scenes. Day of change...เป็นอีกอัลบั้มหนึ่งที่มีคนเข้ามาดูภาพ ชมภาพกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ คอมเม้นต์ชื่นชมและขอบคุณช่างภาพที่บันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้มาให้ชม

หลายๆ คนอยากทราบเบี้องหลัง วิธีคิด วิธีถ่าย ในการทำงานในวันนั้นว่าเป็นอย่างเพราะว่าเป็นงานที่ยาก ยากด้วยสภาพแสงที่น้อย ยากด้วยสภาพสายฝนตกอยู่ตลอดเวลา ยากด้วยงาน ยากด้วยจำนวนของประชาชนผู้ที่รักและภักดีที่มาเฝ้ารับเสด็จเพื่อให้กำลังพระทัยและชื่นชมในพระบารมี

ผมจะขอเล่าแบบอย่างย่อๆ ไม่ลงไปในรายละเอียดของบรรยากาศมากนัก ถ้าใครอยากรู้อะไรเพิ่มให้เขียนคอมเม้นต์มาถามได้ ไม่ว่าจะเรื่องเทคนิคการถ่าย การคิดหรืออะไรที่สงสัยก็ถามมาได้ครับ

ในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ หลังจากผมไปร้อง ไปฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์”ความฝันอันสูงสุด” ไปถ่ายภาพงานรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ศิริราชพยาบาลแล้ว ผมก็ข้ามเรือมาที่บริเวณท้องสนามหลวง

ผมเดินมากับน้องคนหนึ่งเพื่อเข้าจุดถ่ายภาพบริเวณตรงข้ามประตูวิเศษไชยศรี โชคดีที่ไปก่อน มีช่างภาพและประชาชนยังไม่มาก เลยได้เลือกยืนตรงจุดกลางตรงข้ามประตู ที่คิดว่าเมื่อถึงเวลาในหลวงจะเสด็จออกมาและซ้ายขวามีประชาชนนั่งรับเสด็จอยู่สองข้างประตูจะเป็นภาพที่สวย

เมื่อไปถึงก็ลองมองภาพจากวิวไฟน์เดอร์ที่ติดเลนส์วาย 16-35 มม. เอฟ 2.8 ดูปรากฎว่ามันให้ภาพที่ต้องการไม่ได้ เลนส์ตัวนี้มันให้ภาพกว้างเกินไปจากจุดที่ยืนอยู่ ถึงถ่ายแล้วนำมาตัดส่วนก็จะทำให้สูญเสียคุณภาพของไฟล์ไป และลองหยิบอีกกล้องที่ติดเลนส์ 135 มม. เอฟ 2 ขึ้นมาส่องดู ปรากฎว่ามันให้มุมภาพที่แน่นเกินไป ไม่ตอบโจทย์องค์ประกอบและบรรยากาศของภาพที่อยากได้ มีเลนส์อีกตัวคือ 100-400 ม. เอฟ4.5-5.6 is ซึ่งเป็นเลนส์ซูมถ่ายระยะไกล ซึ่งระยะของเลนส์ตัวนี้นั้นครอบคลุมและเหมาะสมมากกับภาพที่อยากได้ แต่ด้วยสภาพแสงที่น้อยมาก แม้เราจะดัน ISO ตั้งค่าความไวแสงขึ้นไปจนถึง 6400 แล้วก็ยังเสี่ยงกับการสั่นไหวของภาพแม้จะมี is เป็นตัวป้องกันการสั่นไหว แต่แบบมีการเคลื่อนที่นี่มันไม่สามารถช่วยอะไรเราได้ และงานนี้เป็นงานสำคัญ พลาดไม่ได้ ไม่มีโอกาสกลับมาแก้ไขได้อีก

ในระหว่างที่คิดนั้น ฝนยังตกอยู่ แสงสว่างตรงนั้นก็น้อย คนก็เริ่มมาจับจองพื้นที่ จนเกือบแน่น และที่สำคัญใกล้เวลาเสด็จแล้วกลัวกลับมาไม่ทัน แต่ในใจมีความกังวลถึงภาพที่จะได้ว่ามันยังไม่ดีแน่ถ้ายังใช้เลนส์ที่มีอยู่ตอนนี้ถ่ายภาพตรงนั้น

ผมคิดถึงรถที่ผมจอดไว้ที่มหาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเช้านี้ ในรถผมนั้นมีเลนส์ที่ผมไม่ได้ติดมากับตัวด้วยอยู่ตัวหนึ่ง มันคือเลนส์ Normal 50 มม. เอฟ 1.4 เลนส์ตัวนี้ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้ เป็นเลนส์เดี่ยวระยะเดียว ซูมไม่ได้ ที่ความกว้างลึกใกล้ๆ กับการมองด้วยสายตามนุษย์ มันเป็นช่วงเลนส์ที่ผมใช้น้อยมาก แต่ตัวมันเล็กและน้ำหนักเบา ผมมักจะติดมันไว้ในรถหรือเวลาออกมาทำงานเสมอ เพราะมันเป็นเลนส์ไวแสงที่ให้คุณภาพของภาพในที่แสงน้อยได้ดีมาก เมื่อเปรียบเทียบกับราคาและที่สำคัญเมื่อมีโอกาสได้ใช้ มัน มันไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย อย่างเช่นงานนี้ ถ้าทุกคนได้เห็นจากอัลบั้ม ภาพกว่า 90 % เกิดจากเลนส์ตัวนี้ตัวเดียว

ผมฝากจุดยืนถ่ายไว้กับน้องแล้วผมก็ตัดสินใจเสี่ยงเพื่อจะเดินไปยังรถที่อยู่ไกลออกไปมาก ผมคิดว่าถ้าผมเดินไปอย่างรวดเร็วจากตรงนี้ ไปกลับคงใช้เวลาประมาณ 15 นาที รออะไรไม่ได้แล้ว ผมตัดสินใจเดินฝ่าสายฝนที่กำลังตกกล้องสองตัวและเลนส์ถูกปกปิดด้วยชุดกันฝนสีน้ำเงินเข้มที่เตรียมมา

ผมหยิบเลนส์แล้วรีบเดินกลับมาที่จุด ปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนในจุดที่ช่างภาพต้องทำงาน คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเป็นจุดของสื่อที่ใช้ทำงานกัน เค้าก็ไม่ยอม เค้าว่าเป็นที่ของประชาชนทุกคนยืนได้ ผมก็ไม่เถียงอะไรเพราะถ้าพูดขนาดนี้ ผมบอกแค่งั้นก็ตามสบายเลยครับ และงานตรงหน้าเป็นงานที่ดีและสำคัญ ผมก็ทำงานของเราต่อไปดีกว่า ก็เลยไม่ได้ยืนตรงจุดที่เลือกไว้ เค้าว่าผมไม่มีมารยาทมาที่หลังเขา ผมคิดในใจว่า ผมมาก่อนนะแต่ออกไปเอาเลนส์และหน้าที่หนึ่งของผมคือบันทึกภาพบรรยากาศไปให้คนอีกร้อยอีกหมื่นที่เขาไม่ได้มาตรงนี้ดู ถ้าคุณไม่เข้าใจการทำงานของผม คุณก็ยืนดูไป ดูคนเดียวให้พอใจ ที่พูดเรื่องนี้แค่อยากชี้ให้เห็นว่าการทำงานมันจะมีปัญหาที่คาดไม่ถึงมากมาย การเก็บอารมณ์ ความรู้สึกเพื่องานสำคัญตรงหน้านั้นสำคัญที่สุด

เมื่อผมกลับมาที่จุดถ่าย ที่ของผมโดนแทนไป แต่สุดท้ายเมื่อใกล้ถึงเวลาสำคัญ งานที่พวกเราช่างภาพมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมันสำคัญที่สุด พวกเธอกลุ่มนั้นก็ถูกช่างภาพที่ต้องทำงานในที่ของสื่อยืนเบียดกันถ่ายภาพบังเธออยู่ดี และก็มีเสียงของพวกเธอโวยวายต่อว่าอยู่ด้านหลังรบกวนตลอดเวลาแต่ไม่มีใครสนใจจนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จมา ทุกอย่างก็เป็นไปอีกอารมณ์หนึ่ง

เสียงดังทรงพระเจริญดังออกมากึกก้องจากภายในพระบรมมหาราชวัง ไม่นาน ภาพที่พวกเรารอคอยก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ทั้งสองพระองค์และพระองค์อื่นๆ โบกมือทักทายประชาชนที่รับเสด็จอยู่สองฝั่งทางในพระบรมมหาราชวัง ทรงแย้มพระสรวลและทรงพระดำเนินไปซ้ายทีขวาทีตลอดเส้นทางจนมาถึงหน้าประตูวิเศษไชยศรี

เสียงทรงพระเจริญยิ่งดังกึกก้องขึ้นเป็นสิบเท่าเมื่อพระองค์ท่านเสด็จออกมาจากพระบรมมหาราชวังที่หน้าประตูวิเศษไชยศรี เราช่างภาพหาจังหวะกดชัตเตอร์ในจังหวะที่มองเห็นพระองค์ท่านชัดเจนไม่มีผู้ติดตาม ห้อมล้อมบดบัง แต่ยังต้องเลือกจังหวะที่ทั้งสองพระองค์ทรงยกพระหัตถ์โบกมือทักทายกับประชาชนที่อยู่ด้านหน้าประตู

เสียงชัตเตอร์ของพวกเราดังระงมแข่งกับเสียงตะโกนร้องทรงพระเจริญจนแยกกันไม่ออกตามแต่สมาธิของเราจะไปจับอยู่กับอะไร ถ้าช่วงวินาทีนั้นพระองค์ท่านทรงทอดพระเนตรมาและทรงโบกมือทักทายสมาธิของเราก็จะไปจับที่เสียงดังรัวของชัตเตอร์ที่กล้อง เพราะเราต้องการจังหวะอารมณ์แบบนี้เพื่อเก็บบันทึกเอาไว้

แต่ถ้าในจังหวะที่เรามองเพื่อรอจังหวะที่เราต้องการ สมาธิของเราจะเลยไปจับที่บรรยากาศรอบตัวพร้อมกับส่งเสียงตะโกนร้องดังในใจว่า”ทรงพระเจริญ”เหมือนกัน

หนึ่งนาทีทองที่ด้านหน้าประตูวิเศษไชยศรีผ่านไปแล้ว เราได้แต่มองตามเบี้องหลังทุกๆ พระองค์ที่พระดำเนินผ่านไป ซึ่งเป็นปกติของการทำงานหมายถึงว่างานของพวกเรา ณ จุดนั้นจบแล้วและก็ต้องรีบไปคัดเลือกภาพเพื่อส่งเข้าระบบเพื่อเผยแพร่ออกไปทั่วโลก

แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ผมสังเกตเห็นว่ามีประชาชนสามารถลุกเดินตามไปด้านข้างๆ พระองค์ท่านได้ โดยได้รับอนุญาต หรือไม่ห้ามอะไร ให้ถ่ายภาพพระองค์ได้ด้วย พวกเราช่างภาพจึงลองค่อยๆ เดินตามขบวนไป จนไปถึงด้านข้างของพระองค์ท่านที่กำลังทรงโบกมือทักทายกับประชาชนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนข้างกำแพงพระบรมมหาราชวังท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงไม่มิได้ขาด

วินาทีนั้นทั้งสองพระองค์และองค์หญิงทั้งสองและองค์ชาย(ขออนุญาตใช้คำสามัญพะย่ะค่ะ) ได้เสด็จมาทางที่ผมยืนอยู่ด้านหลังประชาชนที่น้่งรับเสด็จอยู่ซ้อนแถวกันประมาณสี่ห้าแถว ทั้งสองพระองค์ค่อยๆ ดำเนินมาใกล้มาก ใกล้จนผมต้องนั่งลงด้วยหัวใจที่เต้นแรง พร้อมยกกล้องขึ้นบันทึกภาพด้วยมือที่ต้องนิ่งที่สุด แม้ในอกหัวใจจะเต้นแรงแค่ไหน

อยากบอกว่าเป็นนาทีที่ความรู้สึกทุกอย่างถูกระเบิดออกมาอย่างที่สุด แต่ผมแสดงออกด้วยการทำหน้าที่ ติดตามเก็บบันทึกภาพตรงหน้าให้ดีที่สุด เพราะไม่เคยมีโอกาสครั้งไหนที่เราจะได้ชื่นชมพระบารมีได้ใกล้ชิดท่ามกลางสายฝนแบบนี้แล้ว

ไม่มีการห้าม ไม่มีการกันใดๆ ที่ห้ามมิให้ประชาชนและพวกเราถ่ายภาพ มีอุปสรรคอยู่สองสามอย่างเท่านั้นที่จะกำหนดว่าภาพที่เราบันทึกนั้นจะได้ภาพที่ดีแค่ไหน

หนึ่งเลยคือสภาพแสงที่น้อยมาก มีแค่ไฟจากเสาไฟข้างทางที่มีเป็นจุดๆ พวกเราไม่ใช้แฟลชเพราะว่าไม่อยากให้แสงแฟลชไปกระทบพระเนตรในที่แสงน้อยๆ แบบนี้ และคิดว่าภาพที่ได้จากแสงธรรมชาติด้วยเลนส์ตัวที่เดินตากฝนไปหยิบมามันสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เห็นตรงหน้าได้ ถ้าเราควบคุม ปรับตั้งมันให้ถูกต้องเหมาะสม

สองคือสายฝนที่บรรจงโปรยปรายมาสร้างอารมณ์ บรรยากาศเพิ่มขึ้นในภาพ ซึ่งชีวิตนี้บอกเลยว่าไม่รู้จะได้เจออีกไหมกับงานรับเสด็จ แล้วมีฝนตกด้วย ในใจบอกตัวเองหลายครั้ง หลายงานแล้วว่า เวลาที่เจอภาพสำคัญและมีคุณค่า เราต้องบันทึกภาพเหล่านั้นให้ได้ด้วยเพราะหน้าที่และจิตวิญญาณที่มีในการเป็นช่างภาพข่าว “กล้องพังซ่อมได้ แต่ภาพแบบนี้ ไม่ได้ ไม่ได้”

และอีกอย่างคือเรายอมเสียเงินเป็นแสนเพื่อเลือกใช้ เลือกซื้อกล้องและเลนส์ที่ดีที่สุดและทนทานที่สุด กันน้ำ กันฝนสาดได้ แล้วทำไมเวลาแบบนี้ ในสภาพฝนตกโปรยแบบนี้เราจะหนีหรือหลบทำไม จึงจะเห็นหลายๆ งานของผมที่ได้งานสำคัญและมีคุณค่าเพื่อบันทึกเก็บไว้เผยแพร่

เกือบชั่วโมงแล้วที่ทั้งสองพระองค์ดำเนิน โบกมือทักทาย ยิ้มหัวเราะตรัสพูดคุยกับประชาชนสองฝั่งทางซ้ายที ขวาทีท่ามกลางสายฝนที่ไม่มีใครยอมหนีหรือหลบไปไหน จากการสังเกตพระองค์ท่านทรงห่วงใยใส่ใจกับประชาชนที่นั่งรับเสด็จอย่างมาก จะได้ยินเสียงตรัสพร้อมกับพระหัตถ์ทรงชี้ไปยังที่ประชาชนร้องเรียกอยู่ตลอดเวลา พระองค์หญิงทั้งสองและพระองค์ชายก็คอยเสด็จติดตามอย่างใกล้ชิด ช่วยเข้าไปเติมในส่วนที่ทั้งสองพระองค์เฉียดผ่านได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการตรัสแข่งกับเสียงตะโกนร้องทรงพระเจริญที่ดังอยู่อึออึงตลอดเวลาว่า “ระวังไม่สบายนะ เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะ ขอบใจมาก ขอบคุณมากที่มาให้กำลังใจ ขอส่งกำลังใจนี้กลับไปให้ทุกคนด้วย “ ผมได้ยินแบบนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกจนจำได้ขึ้นใจในขณะที่ตามองผ่านวิวไฟน์เดอร์แต่หูก็เก็บบันทึกเสียงรอบข้างทุกอย่าง

เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วพระองค์ท่านยังพระดำเนินเดินทักทายประชาชนสองฝั่งทางซ้ายขวาอยู่ตรงโค้งหน้าศาลหลักเมืองอยู่เลย แค่ระยะทางจากประตูวิเศษไชยศรี ไม่กี่ร้อยเมตร แต่เพราะด้วยต้องดำเนินเดินตัดซ้ายที ขวาทีจึงทำให้ใช้เวลามาก

พวกเราพสกนิกรของพระองค์ท่านสุดที่จะปีติสุขที่ได้มีโอกาสในการรับเสด็จท่ามกลางสายฝนพรำในค่ำคืนนี้ มันจะต้องเป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต

ทุกสิ่งทุกอย่างทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรอบๆ พระองค์ท่าน ทั้งเหล่าราชองค์รักษ์ ข้าราชบริพาร และผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง น่ารักเหลือเกิน เป็นกันเอง ยิ้ม หัวเราะทำหน้าที่ด้วยความน่ารักตลอดเส้นทางเสด็จ ขอกราบขอบพระคุณจริงๆ

ผมยังคงติดตามบันทึกภาพและรักษาระยะห่างเพื่อมิให้กระทบกับอารมณ์บรรยากาศแห่งความปีติสุขนั้น แม้จะเป็นการถ่ายภาพที่ยากกับทุกสิ่งที่อยู่ตรงนั้น แต่ก็เป็นการทำงานถ่ายภาพที่มีความสุขที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยถ่ายภาพมา

การอยู่ภายใต้เสื้อกันฝนที่ปิดคลุมร่างกาย แต่กายในนั้นระทึกและระอุไปด้วยความร้อนที่เกิดจากการเคลื่อนไหวหามุมภาพอยู่ตลอดเวลา จนไอร้อนพุ่งขึ้นมาจากอก ผ่านคอเสื้อกันฝนจนแว่นที่ใส่อยู่ฝ้าขึ้นเต็มแม้จะถูกฝน จนที่สุดต้องถอดแว่นเก็บเพื่อถ่ายภาพต่อไป และอาศัยเทคโนโลยีจากกล้องช่วยในการโฟกัสภาพ

มีความกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าหน้าเลนส์จะเปียกน้ำฝน แต่ชั่วโมงนั้นไม่มีโอกาสและเวลาเลยที่จะได้เช็ก หรือเช็ดเพราะว่าฝนตกตลอด แต่ก็อุ่นใจอย่างหนึ่งว่า Hood ที่หน้าเลนส์มันพอที่จะป้องกันได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือผมจะไม่ยอมละทิ้งสายตาจากภาพตรงหน้า ที่พร้อมจะเกิดจังหวะอารมณ์ เรื่องราวที่ดีอยู่ตลอดเวลา

บรรยากาศในค่ำวันนั้นที่บริเวณหน้าพระบรมมหาราชวัง มีแต่ความปลื้มปีติเต็มไปทั่วบริเวณ เสียงตะโกนร้อง "ทรงพระเจริญ" ดังอื้ออึงในหูจนบัดนี้เมื่อเห็นภาพ ตอนนั้นต้องตะโกนคุยกัน ทุกคนดีใจ ตื่นเต้นที่พระองค์ท่านเสด็จพระดำเนินมาหาถึงตัว จนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ทุกพระองค์ทรงยิ้มแย้ม โบกมือทักทาย ห่วงใยว่าตากฝนจะไม่สบาย กลับบ้านปลอดภัยนะ ให้ทานยาด้วย บอกขอบใจทุกคนที่มาให้กำลังใจ และขอมอบกำลังใจกลับคืนไปหาทุกคน จะเป็นแบบนี้ไปตลอดเส้นทางเสด็จที่เห็นและได้ยินตลอดเวลา

แม้แต่ช่างภาพแต่ละคน ก็อดขนลุกไม่ได้ จนต้องตะโกนบอกกันไปมาว่า "ขนลุกเลยพี่ ขนลุกเลยพี่ " พระองค์ท่านเสด็จมาใกล้เรามากจนแทบทำอะไรไม่ถูก แต่สำหรับเราช่างภาพแล้ว มันถือเป็นนาทีทอง ชั่วโมงทองที่จะต้องบันทึกภาพพระองค์ท่านทุกพระองค์ในบรรยากาศแบบนี้ให้ได้ ให้ดีที่สุด แม้จะเป็นการถ่ายภาพในที่แสงน้อยมากท่ามกลางสายฝน กล้องต้องเปียกแต่ช่างภาพทุกคนไม่มีใครถอยเลย

เรื่องราวบรรยากาศหนึ่งชั่วโมงแห่งความปิติสุขของประชาชนตรงนั้นมันมีมากมายจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดและรูปภาพได้ทั้งหมด กับสิ่งที่เห็นด้วยตาตัวเอง ว่าพระทุกพระองค์ที่เราเห็นท่านจริงๆ ไม่ใช่คำลือ ทุกพระองค์ท่านทรงเป็นกันเอง เป็นธรรมชาติ ทรงยิ้ม ตรัสพูดคุย ห่วงใย ทักทาย ให้กำลังใจโบกมือ สัมผัส รักษาความรู้สึกของประชาชนทุกมุมเมตรตรงนั้นตลอดเส้นทางจริงๆ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เห็น ไม่ได้ใกล้ ไม่ได้มอง ภาพตรงหน้าของผมที่เห็นและรู้สึกมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

โดยในวันที่ ๑ พฤศจิกายนนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีฯ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรเพื่อทรงเครื่องสำหรับฤดูหนาว และเสด็จฯพระดำเนินเยี่ยมประชาชนที่รอเฝ้ารับเสด็จ เริ่มตั้งแต่ศาลาสหทัยสมาคมฯ ถนนจักรีจรัล ออกประตูวิเศษไชยศรี เลี้ยวขวาเข้าถนนหน้าพระลาน ทรงพระดำเนินตรงไปหน้าศาลหลักเมือง

จริงๆ อยากเขียนสั้นๆ เพียงเพื่ออยากจะเชิญชวนทุกๆ คนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปถวายกำลังพระทัยพระองค์ท่านและทุกๆ พระองค์ ไปกันให้มากๆ ไปให้พระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นว่าคนไทยส่วนมากยังรักและเทิดทูนสถาบันฯ และยังรักพระองค์ท่านอยู่

ไปร่วมกันตะโกนร้องให้สุดเสียง ให้ดังกึกก้องทั่วท้องสนามหลวง ถวายกำลังพระทัยให้พระองค์ท่านด้วยประโยคใหม่ล่าสุด ที่พระองค์ทรงยิ้มทุกครั้งที่มีเสียงตะโกนร้องว่า "ในหลวง สู้สู้... ในหลวง สู้สู้... ในหลวง สู้สู้ "

#ในหลวงสู้สู้
#ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
#ช่างภาพบ้านนอก


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"