
แม้จะมีข่าวดีเรื่องวัคซีนจาก Pfizer และ Moderna แต่คนไทยควรจะรับทราบว่ากว่าเราจะเห็นสัญญาณเศรษฐกิจไทยฟื้นเล็กๆ ได้ต้องรออีกอย่างน้อย 2 ปี
และคำว่า "รอ" อาจจะไม่ถูกต้อง เพราะเราจะ "รอ" ให้เศรษฐกิจ "ฟื้น" เองไม่ได้
ทุกฝ่ายจะต้อง "รุกหนัก" ในทุกๆ มิติเพื่อ "เข็น" บ้านเมืองเราให้พ้นวิกฤติ
และเรากำลังเผชิญกับ "วิกฤติ" หลายซับหลายซ้อนที่ยิ่งวันก็ยิ่งจะสลับซับซ้อนและสุ่มเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี
เหตุผลก็คือ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกราว 2 ปีกว่าจึงจะกลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ได้
กนง.ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะปรับดีขึ้นกว่าที่คาด แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า เปราะบาง และมีความไม่แน่นอนสูง
จึงต้องอาศัยแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง
แถลงการณ์ของ กนง.ระบุว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาด แต่ภาคเศรษฐกิจต่างๆ ยังฟื้นตัวช้า
ที่เป็นประเด็นน่ากังวลมีหลายประการ เช่น
รายได้ของแรงงานยังอยู่ในระดับต่ำ
การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินไว้
แต่ระบบการเงินมีเสถียรภาพ แม้จะเปราะบางตามฐานะทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบน้อยลง
กนง.บอกด้วยว่า "สภาพคล่องในระบบอยู่ในระดับสูง และต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจและครัวเรือนบางส่วนที่ต้องการสภาพคล่องยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs"
แปลว่าที่เราได้ยินมาตั้งแต่ต้นว่ามีเงินเตรียมไว้สำหรับช่วยประคอง SMEs นั้น ในทางปฏิบัติยังมีปัญหาไม่น้อย
นั่นหมายความว่าธุรกิจรายเล็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดนั้นกลับเข้าถึงแหล่งเงินยากที่สุด
มีความกังวลอีกด้านหนึ่งคือ ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับแข็งค่าขึ้นเร็ว
บางสำนักวิเคราะห์ว่า ต้นปีหน้าเงินบาทอาจจะทะลุ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ไปอยู่ที่ 29 บาทหรือแข็งกว่านั้น
เหตุเพราะนักลงทุนต่างชาติที่กลับมาลงทุนในสินทรัพย์ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ภายหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ประกอบกับข่าวความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19
กนง.ยอมรับมีความกังวลว่า สถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ของปี 2563 ว่าติดลบ 12.2%
สาเหตุหลักมาจากการปิดเมืองเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 แต่ก็ชี้ว่ายังติดลบน้อยกว่าช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง
ต่อมาสภาพัฒน์บอกว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนหน้าอย่างมาก
เป็นผลจากปัจจัยบวกในภาคการอุปโภคของภาครัฐและการลงทุนโดยรัฐที่ปรับตัวดีขึ้น แต่อัตราการว่างงานยังสูง โดยผู้ว่างงานมีประมาณ 7.4 แสนคน
สภาพัฒน์คาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีจะอยู่ที่ -6% ดีขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ -7.5%
ส่วนปีหน้าคาดปรับตัวเป็นบวกในกรอบ 3.5-4.5%
โดยปัจจัยหนุนประกอบด้วย ความสามารถในการป้องกันการกลับมาระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศ และการผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม อาทิ กองถ่ายภาพยนตร์ ผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า กลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบพิเศษ (Special Tourist Visa) เป็นต้น
แต่เมื่อมีการเสนอให้ลดช่วงเวลาการกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ศบค.มีมติให้กลับไปทบทวนเพื่อความรอบคอบ
แปลว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะ "แง้มประตู" สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
คำว่า "ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน" กลับมาพิสูจน์สัจธรรมอีกครั้ง.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |