
24 พ.ย.63- ที่ รพ.ขอนแก่น พญ.กนกวรรณ ศรีรักษา อดีตประธานองค์กรแพทย์ รพ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ระบบการเรียนการสอนของแพทย์มีความแตกต่างกับการเรียนการสอนในวิชาชีพอื่นๆ การเรียนการสอนเป็นแบบพี่สอนน้อง ทั้งรุ่นพี่ระหว่างชั้นปี หรือระบบอาจารย์ที่สอนก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ เน้นเรื่องการฝึกปฏิบัติกับคนไข้
"สำหรับประเด็นที่กำลังเป็นข่าว เช่น เรื่องการบูลลี่ การคุกคามทางเพศ ไม่ได้มีเฉพาะวงการแพทย์ เชื่อว่ามีทุกวงการ ที่ผ่านมาวงการแพทย์อาจจะไม่เคยมีใครออกมาพูด เพราะบางประเด็นเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเป็นสิ่งไม่ถูกต้องการออกมาพูดคุยเป็นเรื่องปกติ"
พญ.กนกวรรณ กล่าวต่ออีกว่า โดยส่วนตัวในฐานะที่เป็นอาจารย์แพทย์ ยอมรับว่า การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนในช่วงที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ดีที่เยาวชนเกิดการตื่นตัวและสนใจประเด็นการเมืองในระดับชาติ ซึ่งมองว่าจะทำให้สังคมได้รับประโยชน์จากการแสดงความคิดเห็นนี้ ทั้งนี้การพูดคุยประเด็นทางการเมืองต้องเป็นเรื่องที่สนใจ เมื่อออกมาแสดงความคิดเห็นจะต้องมีการศึกษาหาข้อมูลอย่างรอบด้านด้วยตัวเอง ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ
" ในฐานะที่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ และสายทางการแพทย์ เราจะสอนนักศึกษาแพทย์เสมอว่า การรักษาคนไข้ให้ทำบนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ หมายถึง การรักษาคนไข้ของหมอ ขอให้หาข้อมูลหลักฐานว่าวิธีใดสามารถรักษาคนไข้ให้หายได้ ไม่ใช่การรักษาตามที่อาจารย์ หรือรุ่นพี่บอกว่าวิธีนี้ได้ผล ซึ่งคล้ายกับการออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็เช่นกัน เมื่อมีการพูดถึงการปฏิรูปสถาบัน เราก็ต้องหาข้อมูล ข้อเท็จจริงว่าการปฏิรูปสถาบันมีความหมายว่าอย่างไร ไม่ทำตามกระแส การออกมาเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่ใช้เหตุผลเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะได้สะท้อนหลากหลายมุมมอง ซึ่งเชื่อว่าจะมีผู้รับฟังและนำไปสู่การแก้ไขปัญหา นอกจากแสดงความคิดเห็นมองเห็นปัญหาแล้ว สิ่งสำคัญคือการเสนอทางออกที่ทำให้คนไข้ปลอดภัย การพูดคุยจึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ นอกจากนี้หากมีนักศึกษาออกมาแสดงความคิดเห็นก็ไม่มีการห้าม สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่”
พญ.กนกวรรณ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หากมีการพูดคุยในโรงพยาบาล เรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือต้องไม่กระทบต่อการรักษาผู้ป่วย เพราะเวลาส่วนใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่คือการดูแลผู้ป่วย และการพูดคุยเรื่องการรักษา ส่วนเวลาว่างก็พยายามจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรให้ เช่น ดนตรี กีฬา หรือนักศึกษาคนใดสนใจประเด็นทางการเมือง ก็สามารถนำมาพูดคุยได้ แต่บรรยากาศการพูดคุยนั้นต้องมีความสร้างสรรค์ เป็นเวทีวิชาการ ไม่ต้องใช้คำพูดรุนแรง เพราะทุกคนคือปัญญาชนส่วนในอนาคตที่อาจจะมีบุคลากรทางการแพทย์ออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นนั้น จะต้องดูลักษณะของการเคลื่อนไหว หากไม่ผิดจากธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรจะเป็น ก็สามารถทำได้ ทุกวันนี้หากอาจารย์แพทย์ต้องการจะรับแพทย์ประจำบ้าน ฝึกอบรมในสถาบัน อาจารย์แพทย์จะเข้าไปดูโปรไฟล์ เพื่อดูความคิดเห็น ดูทัศนคติหากการโพสต์มีเหตุมีผล ไม่ใช้คำหยาบคาย ไม่สุดขั้ว ก็ไม่มีผลกระทบต่อนักศึกษาแพทย์ในเชิงลบ การโพสต์แสดงความคิดเห็นจึงต้องมีสติ มีเหตุและผล ที่ผ่านมามีนักศึกษาแพทย์โพสต์บางประเด็นผ่านทางเฟสบุ๊คที่อาจารย์คิดว่าไม่มีเหตุผล ทำให้เห็นทัศนคติในประเด็นนั้นๆ ทำให้ปฏิเสธการรับนักศึกษาซึ่งก็เกิดขึ้นมาแล้ว.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |