เจาะลึก ‘โออาร์' หุ้นใหม่ที่นักลงทุนไม่ควรพลาด


เพิ่มเพื่อน    

ในบรรดาหุ้นที่นักลงทุนทั้งขาประจำและขาจรเฝ้ารอมากที่สุด คงหนีไม่พ้นหุ้นของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ซึ่งเป็นบริษัทแกนนำ (Flagship) ของ กลุ่ม ปตท. ที่ดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก โดยล่าสุด โออาร์ ได้รับการอนุมัติคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา และจะสามารถเสนอขายหุ้นได้เมื่อร่างหนังสือชี้ชวนมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering หรือ IPO) เร็ว ๆ นี้

 

ทำไมถึงบอกว่า หุ้นของ โออาร์ เป็นหุ้นที่น่าลงทุน เหตุผลแรก คือ โครงสร้างธุรกิจของ โออาร์ ที่มีความแข็งแกร่งและครองความเป็นเจ้าตลาด อย่างที่ทราบกันดี โออาร์ เป็นเจ้าของทั้งสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ทั้งร้านกาแฟ Café Amazon ที่มีสาขาทั่วประเทศไทย เป็นแบรนด์ร้านกาแฟอันดับ 1 ของประเทศทั้งด้านรายได้และจำนวนสาขา และเป็นร้านกาแฟที่มีสาขามากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ไก่ทอด Texas Chicken ร้านสะดวกซื้อ Jiffy อยู่ในพอร์ตฟอลิโอและ โออาร์ ยังเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์ด้วย

 

โออาร์ คือผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกภายในสถานีบริการน้ำมันในประเทศไทย ภายใต้โมเดลธุรกิจ Retailing Beyond Fuel เพื่อสร้างประสบการณ์ภายในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ให้เป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน และเติมเต็มทุกความต้องการของผู้บริโภค

 

 

ธุรกิจหลักของ โออาร์ มี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจน้ำมัน (Oil Business) ประกอบด้วย 1.1 การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแบบค้าปลีกให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์และลูกค้ารายย่อย เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)

 

ปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมัน PTT Station รวมกว่า 1,900 แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563) และมีแผนจะขยายเพิ่มกว่า 2,500 แห่งในประเทศไทยภายในปี 2568 เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน นอกจากนี้ โออาร์ ยังครองส่วนแบ่งตลาดขายปลีกน้ำมันรวมกว่า 38.9% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562)

 

โออาร์เป็นผู้นำในการพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทดแทนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 น้ำมันไบโอดีเซล B7 และ B20 รวมถึงพัฒนาสูตรการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง

 

1.2 การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์ ซึ่งจับลูกค้ากลุ่มเอกชนหรือกลุ่มธุรกิจ ทั้งลูกค้าภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม มีลูกค้าทั้งหมดกว่า 2,600 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562) โดยผลิตภัณฑ์หลักที่ โออาร์ จำหน่ายให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม คือ น้ำมันเตา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ยางมะตอย ยางมะตอยน้ำ แอมโมเนีย โพรเพน (C3) และบิวเทน (C4) ซัลเฟอร์ ฯลฯ สำหรับภาคครัวเรือนจำหน่ายผ่านเครือข่ายร้านค้าก๊าซหุงต้ม และยังมีโรงซ่อมถังก๊าซหุงต้ม เพื่อดูแลและบำรุงรักษาถังก๊าซหุงต้มให้เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดก๊าซปิโตรเลียมเหลวภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมเป็นอันดับ 1 ยาวนานกว่า 26 ปี

 

 

นอกจากนี้ โออาร์ ยังดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หล่อลื่นครอบคลุมทั้งการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์หล่อลื่น จาระบี ไขข้น และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ผ่านช่องทาง B2B และ B2C ภายใต้แบรนด์ PTT Lubricants ซึ่งถือเป็นแบรนด์ชั้นนำที่ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน) สามารถครองส่วนแบ่งตลาดน้ำมันหล่อลื่นกว่า 31.1% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562) และยังมีศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ที่ให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นและซ่อมบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น

 

 

ในอนาคต นอกจากแผนที่จะขยายธุรกิจด้วยการขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ในประเทศไทยแล้ว กลุ่มธุรกิจน้ำมันของ โออาร์ ก็มีแผนที่จะขยายพอร์ตฟอลิโอของสินค้าน้ำมันให้มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น และในอนาคตเมื่อยุครถยนต์ไฟฟ้าเข้ามา โออาร์ ก็มีแผนที่จะเพิ่มบริการ EV ทั้งการให้บริการ EV Charging Station ที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station และการซ่อมบำรุงรถ EV เบื้องต้นที่ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto โดยมีโอกาสพัฒนาแพลตฟอร์มในสถานีบริการที่สามารถรวบรวมความต้องการด้านพลังงานจากผู้ใช้รถ EV ในอนาคต

 

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ 2 คือ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil Business) โดยธุรกิจนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคนอกเหนือจากการเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการภายในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เพิ่มมากขึ้น

 

ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ เติบโตเฉลี่ย 8.3% ต่อปี (ปี 2560 - 2562) เมื่อพิจารณาจากกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 3,626 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 4,255 ล้านบาท ในปี 2562 โดยในส่วนของธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ โออาร์ ดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ ร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ร้านสะดวกซื้อ และการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อให้เช่าภายในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการอื่น ๆ ด้วย

 

สำหรับแบรนด์แรกที่เป็นที่รู้จักกันดีของ โออาร์ คือร้านกาแฟ “Café Amazon” ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,400 สาขาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เปิดให้บริการทั้งภายในและภายนอกสถานีบริการน้ำมัน มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 19.2% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 2560 จนถึง ณ วันที่ 30 กันยายน 2563) และมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนสาขาเป็นกว่า 5,200 แห่งในประเทศไทยและต่างประเทศภายในปี 2568 ปัจจุบันร้านกาแฟ Café Amazon เป็นแบรนด์ร้านกาแฟที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกเมื่อพิจารณาจากจำนวนสาขา ขณะเดียวกันยังมีธุรกิจร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ “Jiffy” รวมถึงประกอบกิจการร้านอาหารในกลุ่มแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก อย่างไก่ทอด “Texas Chicken” และ “ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ”

 

 

โออาร์ ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการพื้นที่ โดยดำเนินการบริหารจัดการและให้เช่าพื้นที่แก่ธุรกิจในเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ของ โออาร์ และพื้นที่อื่นที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ โออาร์ เช่น จุดแวะพักระหว่างการเดินทาง (Rest Area) เป็นต้น ซึ่งมีแบรนด์จากต่างประเทศซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีเข้ามาเช่าพื้นที่เพื่อดำเนินธุรกิจ เช่น “KFC” “Burger King” “Pizza Hut” “A&W” “McDonalds” ฯลฯ รวมถึงแบรนด์ในประเทศไทยซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดี เช่น “Chester’s Grill” “S&P” “The Pizza Company” “เจ้าสัว” และ “Black Canyon” ฯลฯ

 

3. ธุรกิจต่างประเทศ เป้าหมายของ โออาร์ จะรุกหนักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันมีธุรกิจ Oil และ Non-oil ใน 10 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน สิงคโปร์ โอมาน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย โดยการดำเนินธุรกิจมีทั้งในรูปแบบที่ โออาร์ ดำเนินการเอง และในรูปแบบที่ให้บริษัทย่อยที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้น ๆ เป็นผู้ดำเนินการ ปัจจุบัน ธุรกิจในต่างประเทศของ โออาร์ มีสถานีบริการน้ำมัน PTT Station 329 แห่ง ร้านกาแฟ Café Amazon 272 สาขา ร้านสะดวกซื้อ Jiffy 86 สาขา และศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto 4 สาขา (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563)

 

 

สำหรับแผนการในอนาคต โออาร์ จะเพิ่มจำนวนสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ในต่างประเทศให้ครอบคลุมกว่า 650 สาขา และเพิ่มร้านกาแฟ Café Amazon ให้ครอบคลุมกว่า 550 สาขา โดยยังคงเน้นการขยายตลาดผ่านการเปิดสาขาใหม่ในประเทศกัมพูชา ฟิลิปปินส์ และลาว อีกทั้ง โออาร์ ได้ร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อขยายธุรกิจร้านกาแฟ Café Amazon ในเวียดนาม รวมถึงเน้นการขายแฟรนไชส์ร้านกาแฟ Café Amazon ในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างแบรนด์ PTT Station ในระดับภูมิภาค และผลักดันแบรนด์ PTT Lubricants ในระดับโลก

ส่วนเหตุผลที่ 2 ซึ่งเป็นจุดขายของหุ้น โออาร์ ก็คือ ผลการดำเนินงานที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โออาร์ มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.1% ด้วยรายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2562 กว่า 577,134 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.6% ซึ่งในปี 2562 อยู่ที่ 10,896 ล้านบาท นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 ของปี 2563 สัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ โออาร์ มาจากธุรกิจ Oil 68.7% ธุรกิจ Non-oil 25.1% ธุรกิจต่างประเทศ 5.8% และธุรกิจอื่น ๆ 0.4% โดยธุรกิจ Non-oil เข้ามามีบทบาทในการช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของ โออาร์ มากขึ้น โออาร์ จึงเป็นผู้นำทั้งในธุรกิจ Oil และ Non-oil อย่างครบวงจร

เหตุผลที่ 3 ทำไมต้องลงทุนใน โออาร์ ก็เพราะ ชื่อของ ปตท. เป็นตัวการันตีความมั่นคงและความเข้มแข็งของ โออาร์ ได้เป็นอย่างดี จากการที่ โออาร์ เป็นบริษัทแกนนำ (Flagship) ของกลุ่ม ปตท. ในการดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก ทำให้ โออาร์ ได้รับประโยชน์จากข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญต่างๆ จากการทำงานร่วมกับบริษัทในเครือและยังได้รับการสนับสนุนจาก ปตท. ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยให้โออาร์ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ปตท. ยังเป็นกลุ่มบริษัทที่มีเครือข่ายระดับโลก และมีพันธมิตรทางธุรกิจมากมายทำให้ โออาร์ สามารถปรับโมเดลธุรกิจให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคตได้อย่างแน่นอน

และเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ โออาร์ เป็นหุ้นที่น่าสนใจ ก็เนื่องจากแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์และความแข็งแกร่งให้กับสังคมชุมชน ที่ผ่านมา โออาร์ ก็มีโครงการดี ๆ ต่อสังคมมากมาย เช่น โครงการไทยเด็ด โมเดลธุรกิจที่ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าของดีของเด็ดจากวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เป็นการส่งเสริมศักยภาพวิสาหกิจชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน

 

 

รวมไปถึงโครงการที่สร้างรอยยิ้มให้ทั้งผู้รับบริการและผู้ได้รับโอกาสแห่งความเท่าเทียมอย่างโครงการ Café Amazon for Chance ที่เปิดโอกาสให้กับผู้สูงวัย ผู้พิการทางการได้ยินและการเรียนรู้ รวมถึงทหารผ่านศึก ได้มาเป็นบาริสต้า ช่วยสร้างโอกาสการทำงาน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และส่งผลต่อคุณค่าด้านจิตใจ โครงการ Café Amazon Circular Living ที่นำวัสดุใช้แล้วของร้านกาแฟ Café Amazon มาผ่านกระบวนการอัพไซคลิ่งและผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งร้าน สอดคล้องกับแนวคิดการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ โออาร์ ให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และยังมีโครงการแยกแลกยิ้ม และโครงการห้องน้ำ 20 บาท ที่นำรายได้ไปสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน เป็นต้น ดังนั้น ทุกก้าวของการเติบโตของ โออาร์ ก็คือการเติบโตร่วมกับลูกค้า คู่ค้า และชุมชนไปด้วยกัน และเร็ว ๆ นี้ #หุ้นโออาร์ ก็พร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักลงทุนให้มาเป็นเจ้าของร่วมกันเพื่อก้าวสู่อีกระดับในการช่วยสร้างการเติบโตของธุรกิจเคียงคู่การยกระดับสังคมและเศรษฐกิจของชาติอย่างยั่งยืน

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"