โมเดล “เศรษฐกิจคู่” ของจีน คือ ‘วัคซีน’ ทางเศรษฐกิจตัวใหม่


เพิ่มเพื่อน    

 

           เมื่อวานผมเขียนถึงยุทธศาสตร์ใหม่ของจีนที่เรียกว่า Dual Circulation หรือ “วงจรหมุนเวียนคู่” เพื่อรักษาความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยไม่พึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเกินควร หันมาสร้างรายได้, ตลาด และอำนาจซื้อของคนจีนเองมากขึ้น

                เป็นแนวคิดอันเกิดจากบทเรียนจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกของสหรัฐ, สงครามการค้าและโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงรุนแรง

                ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ว่านี้จะยกระดับความแข็งแกร่งของตลาดภายในให้เป็น “พระเอก” ของเศรษฐกิจ

                ขณะเดียวกันก็ให้วงจรของตลาดโลกเป็นส่วนเสริมและขยายผล

                เป็นการ “จัดดุลถ่วงน้ำหนักใหม่” ภายใต้สิ่งแวดล้อมตลาดโลกใหม่ที่มีปัจจัยของความไม่แน่นอนและภัยคุกคามมากขึ้น เช่น

                แนวโน้มการกีดกันทางการค้า (protectionism) สูงขึ้น

                การเสื่อมถอยของเศรษฐกิจโลก (global economic downturn)

                ตลาดโลกที่หดตัวลง (shrinking international market)

                ทำให้ผู้นำจีนหันมาปรับยุทธศาสตร์ใหม่ด้วยการระดมทรัพยากรทั้งหลายทั้งปวงเพื่อเน้นการบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ข้อได้เปรียบของตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ของจีนเอง

                โดยมีเป้าหมายของการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ตลาดในประเทศและต่างประเทศสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกัน

                เน้นว่าตลาดภายในจะเป็นหลัก ตลาดต่างประเทศเป็นตัวเสริม

                สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวว่าการส่งออกของจีนเดือนพฤศจิกายนพุ่งขึ้นเกินความคาดหมาย

                สะท้อนว่าตลาดส่งออกของจีนยังเข้มแข็ง แต่ปักกิ่งก็ไม่วางใจสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ตนกำกับควบคุมไม่ได้ จึงน่าเชื่อว่าโมเดล “Dual Circulation” ยังคงจะอยู่ในแผนพัฒนา 5 ปีต่อไป

                เพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลกก่อนช่วงเทศกาลสิ้นปี ทำให้จีนได้ดุลการค้าเป็นประวัติการณ์

                ตอกย้ำว่าจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังฟื้นตัวจากพิษโควิดอย่างมีนัยสำคัญ

                ตัวเลขที่ “ดีเกินคาด” ของจีนคือการส่งออกในเดือนพฤศจิกายนที่กระโดดขึ้นถึง 21.1% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า

                คิดเป็นตัวเงินก็คือ 268,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

                ทำไมจึงก้าวกระโดดมากขนาดนี้?

                เหตุผลคือคำสั่งซื้อสินค้าทางการแพทย์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

                ยอดส่งออกเดือนที่ผ่านมาสูงสุดนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2561

                และสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 12%

                ดีกว่า 11.4% ของเดือนตุลาคมด้วยซ้ำไป

                ถือว่าเป็นการเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 โดยไม่มีอาการชะงักเลย

                ตัวเลขสะสมของ 11 เดือนแรกของปีนี้ เฉพาะการส่งออกสิ่งทอ ซึ่งรวมถึงหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้น 33%

                แต่ตัวเลขสินค้านำเข้าขยายตัว 4.5% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 7% และต่ำกว่าเดือนก่อนเล็กน้อย

                เมื่อตัวเลขส่งออกพุ่งอย่างนี้ก็มีผลทำให้จีนเกินดุลการค้าประเทศต่างๆ ทั่วโลกอยู่ที่ 75,420 ล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน

                เพิ่มขึ้นจาก 58,440 ล้านดอลลาร์ ในเดือนตุลาคม

                ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ย้อนหลังไปถึงปี 2533

                ที่น่าสังเกตคือตัวเลขการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของจีนพุ่งขึ้นเป็น 166,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนที่แล้ว

                เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24.81%

                ส่วนการส่งออกอุปกรณ์การแพทย์พุ่งขึ้น 38% ผลิตภัณฑ์พลาสติก 112% และอุปกรณ์ให้แสงสว่าง 47% ในเดือนพฤศจิกายน

                ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของจีนยังเป็นสหรัฐ

                โดยมีมูลค่าการซื้อสินค้าจีนที่ 1,900 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 46%

                ขณะที่การนำเข้าสินค้าสหรัฐของจีนเพิ่มขึ้น 31.5%

                ส่งผลให้สหรัฐขาดดุลการค้าจีนในเดือนพฤศจิกายนเป็น 37,600 ล้านดอลลาร์ หรือ เพิ่มขึ้น 52% จากปีก่อน สูงกว่าเดือนมกราคม 2560 ที่ 74.8% อันเป็นช่วงเวลาที่โดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดี

                นั่นแปลว่าแม้ทรัมป์จะประกาศสงครามการค้ากับจีนอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แต่ผลจริงๆ กลับกลายเป็นว่าทำอะไรจีนไม่ได้เท่าไหร่เลย

                ตัวเลขส่งออกของจีนที่ดีเกินความคาดหมายอย่างนี้ไม่ได้แปลว่าจีนจะวางใจกับสถานการณ์ผันผวนของการเมืองระหว่างประเทศได้

                ยิ่งเมื่อ โจ ไบเดน ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และประกาศว่าจะเดินหน้ากดดันจีนในด้านต่างๆ ต่อไปก็ย่อมแปลว่า สี จิ้นผิง ไม่อาจจะเลิกยุทธศาสตร์ใหม่ว่าด้วย “Dual Circulation” ได้

                เพราะโมเดลใหม่นั้นคือ “วัคซีน” ป้องกันโรคร้ายทางเศรษฐกิจของจีนที่จะต้องใช้ ไม่ว่าบรรยากาศระหว่างประเทศจะดุเหมือนเริ่มจะผ่อนคลายเพียงใดก็ตาม.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"