ทรัมป์ก่อจลาจล ณ ตึกรัฐสภามะกัน!


เพิ่มเพื่อน    

 

      ผมตื่นขึ้นตอนเช้าเมื่อวาน ข่าวที่เด้งขึ้นมาทันทีคือจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐ

                คำว่า “แปลกใจ” หรือ “ตกใจ” ยังน้อยไป

                เพราะประโยคที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ใช้คือ “insurrection” หรือ “จลาจล”

                เพราะนี่ไม่ใช่การประท้วง หรือ protest ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนอเมริกันในรัฐธรรมนูญ

                บุชบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็น Banana Republic หรือ “สาธารณรัฐกล้วยหอม” ที่อเมริกาเคยเรียกขานประเทศด้อยพัฒนาที่ถูกปกครองโดยเผด็จการในโลกที่สาม

                โดนัลด์ ทรัมป์ ปลุกระดมผู้สนับสนุนให้โกรธแค้นถึงขั้นที่บุกเข้าทำลายทรัพย์สินและยึดพื้นที่ในสถานที่ประวัติศาสตร์ทางการเมืองจน National Guards และหน่วยรักษาความปลอดภัยต้องเข้าสลายม็อบ

                ด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุน (จนเสียชีวิตไป 1 คน)

                เหตุเกิดขณะที่รัฐสภาประชุมร่วมเพื่อรับรองผลการลงคะแนนของ Electoral College ของรัฐต่างๆ ที่ให้โจ ไบเดน ได้ 306 และทรัมป์ 232

                เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่คนอเมริกันเองไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในประเทศที่อ้างตนเป็น “แม่แบบแห่งประชาธิปไตย”

                เพราะเป็นครั้งแรกในกว่า 200 ปี ที่ตึกรัฐสภาถูกโจมตีโดยกลุ่มคน

                เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 1814 หรือ 207 ปีก่อน

                และเป็นการโจมตีโดยทหารอังกฤษในการพยายามปราบปรามการเรียกร้องเอกราชของคนอเมริกันต่อเจ้าอาณานิคม

                มิใช่เป็นการก่อเหตุจลาจลโดยคนอเมริกันต่อคนอเมริกันเองอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

                ระหว่างบุกเข้าตึกรัฐสภา ผู้สนับสนุนทรัมป์บางคนดูเหมือนจะเตรียมพร้อมมาเผด็จศึก 

                เพราะบางคนใส่ชุดป้องกันตัว ใช้สารเคมีที่ทำให้ระคายเคืองโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจ

                อีกทั้งตะโกน "พวกเขาอยู่ไหน" และ "เราต้องการทรัมป์"

                ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต้องหลบหนีไปหาที่ซ่อนตัวในจุดปลอดภัยกันจ้าละหวั่น       

                เห็นภาพของ ส.ส.และ ส.ว.กับหน่วยรักษาความปลอดภัยบางคนต้องควักปืนออกมายืนจังก้าตรงประตูเพื่อปกป้องตนเองหากผู้ประท้วงบุกเข้ามา แล้วก็เข้าใจถึงสภาพความวุ่นวายที่คงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อเมริกันตลอดไป

                เหตุการณ์บ้าระห่ำนี้มาจากการปราศรัยปลุกระดมของทรัมป์ตรงอุทยานเนชั่นแนล มอลล์ อ้างว่าเขาถูกปล้นชัยชนะการเลือกตั้ง

                ทรัมป์ประกาศว่า "เราจะไม่ยอมแพ้" และปลุกให้ผู้สนับสนุนไปแสดงความไม่พอใจที่หน้าสภาคองเกรส ผมย้อนไปดูคลิปข่าวก็เห็นผู้สนับสนุนทรัมป์กลุ่มใหญ่รวมตัวที่บริเวณบันไดฝั่งตะวันออกของอาคารรัฐสภา

                จากนั้นก็ดันแนวกั้นอย่างหนักหน่วงรุนแรง อารมณ์พลุ่งพล่าน พร้อมจะก่อเหตุร้ายได้

                ผู้ประท้วงดันผ่านแนวตำรวจควบคุมฝูงชน บุกเข้าไปภายในอาคาร จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้สเปรย์พริกไทยและยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสกัดกั้นผู้ชุมนุม

                จากนั้นผู้ชุมนุมบางส่วนก็บุกเข้าไปในอาคารได้สำเร็จ

                บางคนกระโดดขึ้นไปบนบัลลังก์วุฒิสภาพร้อมตะโกน "ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง"

                อีกคนหนึ่งวิ่งเข้าไปนั่งในห้องทำงานของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ

                พร้อมเอาขาพาดบนโต๊ะ ถ่ายรูปกระจายข่าวออกไปให้เห็นว่าพวกเขาไม่สนใจกฎหมายหรือกติกาใดๆ

                ในจังหวะแห่งความวุ่นวายนั้นเอง โจ ไบเดน ออกมาเรียกร้องให้ทรัมป์ "ทำตามคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้และปกป้องประชาธิปไตยด้วยการทำให้การชุมนุมยุติลง"

                "การโจมตีอาคารรัฐสภาไม่ใช่การชุมนุมเรียกร้อง แต่เป็นการก่อจลาจล" ไบเดนประกาศ

                แกบอกด้วยว่า "ประชาธิปไตยเป็นเรื่องเปราะบาง การจะพิทักษ์มันไว้ได้จะต้องอาศัยผู้นำที่อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เพื่ออำนาจของตัวเอง"

                ต่อมาทรัมป์โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ให้ผู้ชุมนุมไม่ใช้ความรุนแรงและสลายตัว

                แต่ก็ยังใส่อารมณ์ที่เร้าอารมณ์ความเคียดแค้นของผู้ประท้วงไว้

                ทรัมป์ประกาศว่า "ผมรับรู้ความเจ็บปวดของพวกคุณ ผมรู้ว่าคุณเจ็บ"

                และย้ำว่าเขาถูกปล้นชัยชนะในการเลือกตั้ง

                "ทุกคนรู้ดี โดยเฉพาะอีกฝ่ายหนึ่ง แต่พวกคุณต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้"

                แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะความวุ่นวายได้กระจายไปทั่ว

                เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมงจึงสลายผู้ก่อเหตุได้

                พร้อมกับประกาศเคอร์ฟิวจาก 18.00-06.00 น. ของวันรุ่งขึ้น

                ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ สภาคองเกรสกลับมาทำหน้าที่ลงมติรับรองผลการเลือกตั้งต่อ

                ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ลงโทษทรัมป์ในฐานที่เป็นผู้ก่อม็อบให้เกิดความเสียหายร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา

                อีก 2 สัปดาห์ ทรัมป์ก็ต้องย้ายออกจากทำเนียบขาว เมื่อโจ ไบเดน สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง

                แต่ก็มีความพยายามของ ส.ส.และ ส.ว.จำนวนหนึ่งที่จะเสนอให้มีการ “ไต่สวนเพื่อถอดถอน” (impeachment) ทรัมป์

                หรือให้รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ใช้อำนาจตามบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 ให้ปลดทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ก่อนวันที่เขาต้องก้าวลงจากตำแหน่งด้วยซ้ำ

                อเมริกาในฐานะ “ประเทศโลกที่สาม” กำลังถูกทดสอบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองโลกจริงๆ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"