เรื่องวัคซีนเป็นหัวข้อใหญ่สำหรับคนไทย เพราะกำลังรอการฉีดให้คนไทยกลุ่มแรกในเดือนหน้า
มีคำถามหลายประเด็นที่ต้องการความชัดเจนในแต่ละขั้นตอน
ต้องยอมรับว่านี่เป็นประสบการณ์ใหม่และใหญ่ที่เรายังไม่เคยทำมาก่อน และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็มีปฏิบัติการแจกจ่ายและฉีดวัคซีนโควิดเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ที่ผมสนใจติดตามเป็นพิเศษคือสองประเทศใหญ่ในเอเชียที่ได้เริ่มการฉีดวัคซีนให้ประชาชนของตนแล้ว
อินโดนีเซียเตรียมฉีดฟรีให้ประชาชน 181.5 ล้านคน และจะเริ่มด้วยวัคซีนของจีนจาก Sinovac ที่รัฐบาลไทยกำลังจะได้รับมาชุดแรกในเดือนหน้าเหมือนกัน
อินเดียก็กำลังแจกวัคซีนเพื่อฉีดให้ประชาชนอย่างน้อย 300 ล้านคนใน 8 เดือน
ต้องถือว่าเป็นปฏิบัติการเรื่องนี้ในระดับใหญ่ที่สุดในโลก
ข่าวบอกว่าประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ของอินโดนีเซียเป็นคนแรกของประเทศที่เข้ารับการฉีดวัคซีนจากประเทศจีนในช่วงเช้าวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา
อินโดนีเซียกำลังเจอศึกหนักเรื่องโควิด มีจำนวนคนติดเชื้อสูงที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย
รัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีนฟรีให้บุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการ และกลุ่มประชาชนผู้มีความเสี่ยง
รัฐบาลอินโดฯ มีแผนจะฉีดให้กับประชาชน 181.5 ล้านคน หรือราว 67% ของประชาชนทั้งหมด
เพราะประเทศนี้เป็นเกาะแก่งหลายพันแห่ง กิจกรรมฉีดวัคซีนจึงเป็นเรื่องท้าทายมาก
ที่หนักเป็นพิเศษคือ การต้องนำวัคซีนเข้าไปถึงจุดที่ระบบสาธารณูปโภคยังไม่ได้มาตรฐาน
แผนการฉีดคือ 2 โดส ต้องมีการเก็บรักษาวัคซีนเอาไว้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส
วัคซีนได้รับการอารักขาอย่างแน่นหน้าโดยกองกำลังติดอาวุธ
ที่ 'อินเดีย' ก็เริ่มการแจกวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยเริ่มจากวัคซีนของ AstraZeneca
วัคซีนจะมีการแจกจ่ายจากสถาบันเซรุ่มของประเทศอินเดีย เริ่มวันที่ 12 มกราคม ด้วยรถบรรทุกที่ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิเอาไว้
จากนั้นก็ขนย้ายจากรถบรรทุกไปยังเครื่องบินของสายการบินอินเดีย ที่จะแจกจ่ายไปยังจุดฉีดวัคซีนไปทั่วประเทศอินเดีย คนกลุ่มแรกที่จะได้รับวัคซีนนั้นจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่ทำงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยงจำนวน 30 ล้านคน
ต่อมาก็จะเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ หรือกลุ่มประชากรที่อายุเกิน 50 ปี จำนวนกว่า 270 ล้านคน
เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม สายการบินมีกำหนดการจะจัดส่งวัคซีนจำนวนกว่า 5.65 ล้านโดสไปยังหลายเมืองทั่วประเทศ
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้มีการเซ็นสัญญาจัดซื้อวัคซีน Covishild ซึ่งผลิตจากสถาบันเซรุ่มของอินเดีย เมื่อประมาณ 1 สัปดาห์
สถาบันเซรุ่มของอินเดียได้ดำเนินการจัดส่งวัคซีนเป็นจำนวน 11 ล้านโดสให้กับรัฐบาลอินเดียแล้ว ราคาโดสละ 200 รูปี (ประมาณ 82 บาท)
หน่วยงานกำกับดูแลด้านยาของอินเดียยังได้มีการอนุมัติฉุกเฉินให้กับวัคซีนจากบริษัท Bharat Biotech ที่มีชื่อวัคซีนว่า Covaxin แล้วเช่นกัน
แต่ถึงวันนี้ยังต้องประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ และต้องรอความชัดเจนเรื่องช่วงเวลาและสถานที่ที่วัคซีน Covaxin จะเริ่มกระบวนการจำหน่ายด้วย
ประสบการณ์ของสองประเทศนี้น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับประเทศไทยที่จะนำมาปรับใช้กับการแจกจ่าย, ระบบกระจายวัคซีนและวิธีการรับมือกับ “ผลข้างเคียง” ที่เกิดขึ้นเมื่อคนไทยเริ่มได้รับการฉีดวัคซีน
เพราะท้ายที่สุด “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความน่าไว้วางใจ” ของทางการในความรู้สึกของประชาชนคือหัวใจที่จะตัดสินว่าการฉีดวัคซีนของประเทศไทยจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
รัฐบาลต้องวางแผนการแจกจ่ายและทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างใกล้ชิด และตอบทุกคำถามอย่างจะแจ้งหากไม่ต้องการมีปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดระหว่างทาง
เพราะความรู้สึกของคนไทยยามนี้มีความ “เปราะบาง” ต่อข่าวลือข่าวปล่อยและข่าวซุบซิบที่จริงบ้างเท็จบ้างเต็มโซเชียลมีเดียตลอดเวลา.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |