วอชิงตันกลายเป็นสนามรบ วันพิธีสาบานตนของไบเดน


เพิ่มเพื่อน    


    ภาพทหารติดอาวุธเต็มพิกัดถูกระดมมารักษาความปลอดภัยสำหรับพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ เป็นภาพที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศนี้
    แต่มันเกิดขึ้นเพราะคนกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
    และคนกลุ่มนี้เชื่อทุกอย่างที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดไม่ว่าสิ่งที่พูดจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
    กลายเป็น “ลัทธิทรัมป์” ในคราบของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะต้องย้ายออกจากทำเนียบขาววันที่ 20 มกราคม หรือวันพุธที่จะถึงนี้
    คำเตือนจาก FBI และหน่วยข่าวกรองว่าผู้สนับสนุนทรัมป์จะมีการประท้วงในทุกๆ รัฐตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 20 มกราคม กลายเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าอาจจะมีการก่อเหตุร้ายได้
    ไม่ต่างไปจากเหตุจลาจลวันที่ 6 มกราคมที่สาวกของทรัมป์จำนวนหนึ่งบุกเข้าตึกรัฐสภาทำลายทรัพย์สิน และเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิต 5 คน
    คำเตือนนี้บอกว่ากลุ่มผู้ประท้วงบางคนอาจจะเตรียมการก่อเหตุจลาจลด้วยการใช้อาวุธ (armed protest)
    เป็นเหตุให้ต้องระดมทหาร National Guards อย่างน้อย 25,000 คนมาประจำการ ณ เมืองหลวงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
    วอชิงตันวันนี้มีภาพเหมือน “สมรภูมิรบ” หรือ War Zone เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ทหารติดอาวุธครบมือ
    อีกทั้งรอบๆ ตึกรัฐสภาก็มีการสร้างสิ่งกีดขวางล้อมรอบทุกทิศทาง
    มีการตั้งด่านตรวจผู้คนเข้าออกอย่างเข้มข้น
    สื่ออเมริกันใช้คำว่า Fortress Security หมายถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ประหนึ่งเป็นการป้องกันป้อมค่ายจากศัตรูผู้รุกรานจากข้างนอก
    ทั้งๆ ที่ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ กว่า 200 ปี ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ผู้ประท้วงจะบุกเข้าทำลายข้าวของและสร้างความวุ่นวายในตึกรัฐสภาที่ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นประชาธิปไตย
    ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์บุกตึกรัฐสภา ก็คือเมื่อปี 1814 หรือ 206 ปีก่อน แต่ผู้บุกรุกคือทหารอังกฤษที่ต้องการจะสั่งสอนคนอเมริกันที่พยายามจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ


    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่าจะไม่มาร่วมพิธีสาบานตน
    แต่รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์ บอกว่าจะมา
    ทรัมป์ยังไม่แสดงความยินดีกับโจ ไบเดน และยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
    ไมก์ เพนซ์ โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับกมลา แฮร์ริส ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีแล้ว
    เพนซ์แสดงความมีวุฒิภาวะทางการเมืองสูงกว่าทรัมป์
    จากนักการเมืองที่ไร้น้ำยาและปราศจากผลงานชัดเจน สถานการณ์วิกฤติครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของคนอเมริกันที่เห็นว่าเขาทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม
    เพนซ์ไม่ต้องการ “หัก” กับทรัมป์
    แต่เขาก็ทำตามที่ทรัมป์สั่งให้ปฏิเสธคะแนน Electoral College ของรัฐต่างๆ ที่ให้ไบเดนชนะเลือกตั้งไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจแก่รองประธานาธิบดีที่ทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา
    เพนซ์ต้องหลบหนีเข้าห้องในตึกรัฐสภาเมื่อผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้าไปข่มขู่จะใช้ความรุนแรงกับเขา
    เพราะมีผู้ไม่พอใจเขา ตะโกน “แขวนคอเพนซ์! แขวนคอเพนซ์!” เพราะไม่พอใจที่เขาไม่ทำตามที่ทรัมป์สั่ง
    ระหว่างที่เพนซ์หลบซ่อนตัวจากคนของทรัมป์ ประธานาธิบดีไม่ได้แสดงความห่วงใยในสวัสดิภาพของคนที่เป็นรองประธานาธิบดีเลยแม้แต่น้อย
    พิธีสาบานตนของไบเดนจะจัดขึ้นในบรรยากาศที่ตึงเครียดและหวั่นไหว
    เพราะไม่แน่ใจว่าผู้สนับสนุนทรัมป์จะก่อเหตุอะไร อย่างไร เมื่อไหร่
    ไบเดนถูกถามว่าเขากล้าจะยืนกลางแจ้งเพื่อทำพิธีสาบานตนหรือไม่
    ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ยืนยันว่า “แน่นอน...ผมกล้า เพราะนี่คือสหรัฐอเมริกา”
    เพนซ์ไม่ยอมทำตามคำร้องขอของแนนซี เพโรซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้เขาใช้อำนาจตามบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 เพื่อปลดทรัมป์
    เพนซ์ตอบเป็นลายลักษณ์อักษรว่า เขาไม่เชื่อว่าเขามีสิทธิ์จะทำเช่นนั้นในสถานการณ์เช่นนี้
    เพโรซีเดินหน้าขอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติไต่สวนเพื่อถอดถอน (impeach) ทรัมป์
    สภาล่างมีมติ 232-197 (ส.ส.รีพับลิกัน 10 คนแปรพักตร์ไปยกมือพร้อมกับเดโมแครต) ให้ดำเนินการถอดถอนทรัมป์
    เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูก impeach สองครั้ง
    ญัตตินี้จะต้องให้วุฒิสภาลงมติซึ่งต้องได้เสียง 2-3 จึงจะปลดทรัมป์ได้
    วุฒิสภาเรียกประชุมวาระพิเศษก่อนวันที่ 20 มกรา.นี้ไม่ทัน
    ฝ่ายเดโมแครตจึงต้องรอไปผลักดันต่อหลังไบเดนสาบานตน
    ผลทางด้านการเมืองและกฎหมายต่อทรัมป์เป็นอย่างไร จะได้ว่าต่อพรุ่งนี้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"