โควิดผุด ตอโผล่...โอกาสทองของการยกเครื่องเมืองไทย!!!


เพิ่มเพื่อน    

 

 "น้ำลด ตอผุด" เป็นสุภาษิตไทยที่เล่าขานสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณกาล เพื่อหวังเตือนสติทุกคนให้ยึดมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมทั้งต่อหน้าและลับหลัง...
          ใครก็ตามที่แอบทำสิ่งไม่ดีไม่งามเอาไว้ ในยามมีอำนาจวาสนา พึงรู้ไว้เถิดว่าในยามเสื่อมอำนาจวาสนา สิ่งไม่ดีไม่งามที่แอบทำและกดทับไว้ด้วยอำนาจวาสนามันจะโผล่ขึ้นมา สร้างความเดือดร้อน อับอายเอาได้
          ทำนองเดียวกับกรณีโควิด ซึ่งผุดขึ้นมาแพร่ระบาดรุนแรงรอบใหม่ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กระจายตัวไปทั่วทุกหย่อมหญ้า นับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2563 เป็นต้นมา
          รากเหง้าแห่งการแพร่ระบาดของโควิดรอบใหม่ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทราบและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในเบื้องต้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ
          ประการแรก มีสาหตุจากพฤติกรรมเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางกลุ่ม บางคน ที่เห็นแก่อามิสสินจ้าง ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ   เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มมิจฉาชีพให้ลักลอบนำเข้า-ส่งออกแรงงาน เถื่อน
          แรงงานเถื่อนที่เจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจให้ไหลบ่าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิดเข้ามายังประเทศไทย คือพาหะสำคัญที่พาโรคร้ายเข้ามาคุกคามคุณภาพชีวิตคนไทยและสร้างความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของไทย
          ประการที่สอง มีสาเหตุจากบ่อนการพนัน ที่อำนวยความสะดวกแก่นักเลงการพนัน ซึ่งเปิดเย้ยกฎหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจ และเรียกรับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำจากคนทำบ่อน
          พฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำทุจริตต่ออำนาจหน้าที่ แลกกับผลประโยชน์ที่ถูกหยิบยื่นจากกลุ่มทุจริตชน ด้วยการหลบหลีก บิดเบือนการบังคับใช้กฎหมายอย่างซื่อตรง โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์สุขของสุจริตชน กำลังส่อเค้าบานปลาย และกลายเป็นความล่มสลายล้มละลายในความน่าเชื่อถือศรัทธาของกลไกแห่งรัฐ
          สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ ที่ก่อความทุกข์ยากแก่ประชาชนและก่อความเสียหายแก่ประเทศชาติ ล้วนมีต้นตอแห่งทุกข์มาจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรู้เห็นเป็นใจปล่อยให้ "อำนาจเถื่อนอยู่เหนือกฎหมาย"
          ด้วยพระธรรมคำสอนแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นอกาลิโกนับจากสมัยพุทธกาล ตราบกระทั่งปัจจุบันกาล ทรงชี้แนะให้ดับทุกข์ ที่เหตุแห่งทุกข์
          เมื่อชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งประพฤติชั่วเป็นเหตุแห่งทุกข์ จึงสมควรต้องเร่งดับทุกข์ ด้วยการจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ประพฤติชั่วโดยเร็ว เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน ต่อกลไกแห่งรัฐให้กลับคืนมาโดยไว
          ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องผลักดันให้เดินหน้าคู่ขนานกันไป
          เงินงบประมาณที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม ควรต้องเร่งประมวลมาทั้งหมด แล้วออกแบบการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ให้สอดคล้องกับสถานะความทุกข์ยากลำบากของประชาชน และตั้งมั่นบนความโปร่งใส เป็นธรรม
          ข้อมูลล่าสุดของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บ่งชี้ว่า เม็ดเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท มีการเบิกจ่ายเกิดขึ้นจริงเพียง 361,434 ล้านบาท คงเหลือวงเงิน 638,566 ล้านบาท ยังมิได้เบิกจ่าย
          เม็ดเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่คงค้างการเบิกจ่ายอยู่ 638,566 ล้านบาท สมทบกับงบกลางของปีงบประมาณ 2564 จำนวน 140,000 ล้านบาท เมื่อรวมกันแล้ว จะสูงถึง 778,566 ล้านบาท และหากนับรวมเข้ากับยอดเงินคงเหลือจาก "ซอฟต์โลน" และ "สินเชื่อพยุงหุ้นกู้เอกชน" ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทยอีกประมาณ 800,000 ล้านบาท เป็นกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งน่าจะมากเพียงพอสำหรับการประคับประคองเศรษฐกิจ สังคม และเยียวยาความทุกข์ยากของประชาชนให้ก้าวข้ามวิกฤติการแพร่ระบาดของ   โควิดไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเติม...
          โควิดผุด ตอโผล่ น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี ทำให้ได้รู้ถึงจุดบอด...หลุมดำในระบบราชการอย่างชัดเจน สำหรับใช้เป็นฐานข้อมูลในการจัดการชำระสะสางปัญหาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ เท่าทันสถานการณ์
          อานิสงส์ของการกำจัดจุดอ่อนเพื่อฟื้นฟูความเชื่อถือศรัทธาของมหาชนต่อระบบราชการ มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การทำให้ราชการเป็น "ขวัญใจมหาชน" เท่านั้น แต่ยังเป็นการขัดสนิมที่เกรอะกรังอยู่ในระบบราชการไปในคราวเดียวกัน
          สนิมในกระบวนการยุติธรรม ทั้งในมิติของช่องว่างความเหลื่อมล้ำของโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรม หรือในมิติของความล่าช้าในการอำนวยความยุติธรรม (Delay Justice) ที่สร้างความอิดหนาระอาใจแก่ประชาชน และเป็นต้นทางความเหลื่อมล้ำที่บั่นทอนความมั่นคงทางสังคม อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคสำคัญของการขับเคลื่อนกระบวนการปรองดองให้เดินไปข้างหน้า เป็นสิ่งที่สมควรจะฉกฉวยพลิกวิกฤติจากการแพร่ระบาดของโควิด เป็นโอกาสในการจัดระบบระเบียบกระบวนการยุติธรรมครอบคลุมทุกมิติ
          เมื่อประชาชนมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม จะทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคของความปรองดองไปได้ เปิดทางให้ทุกฝ่ายสะดวกใจที่จะร่วมกันระดมสติปัญญาออกแบบอนาคตประเทศไทย ให้เจริญพัฒนาไปด้วยกัน ควบคู่ไปกับการกำหนดนิยามความหมายของระบอบประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและคุณธรรม คู่ขนานไปกับสิทธิและเสรีภาพ
          ถึงตอนนั้น ความ (เกลียด) ชัง จะถูกเปลี่ยนเป็นความรัก...ความหวาดระแวงแคลงใจกัน จะถูกเปลี่ยนเป็นความศรัทธา และความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และท้ายที่สุดความสุขที่ห่างหายจากประเทศไทยไปนาน จะค่อยๆ หวนคืนกลับมา!!!
          หันหน้าเข้าหากันเถอะ...มาร่วมแรงร่วมใจสร้างบุญกุศลยิ่งใหญ่ต่อบ้านเมืองของเราไปด้วยกัน ด้วยการประสานแรงกายแรงใจของสายเลือดไทย สร้างสรรค์ความปรองดองให้บังเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของพวกเราคนไทย และสังคมไทยของเรา.

คอลัมน์ เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ

วุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมภิบาล

 



เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"