ผมติดตามตัวเลขเศรษฐกิจไทยภายใต้ความท้าทายของโควิด-19 ค่อนข้างใกล้ชิด เพราะเหมือนคอยให้หมอตรวจ "สุขภาพเศรษฐกิจ" เพื่อเป็นข้อมูลบอกเราว่า คนไทยจะทำศึกสงครามครั้งนี้อย่างไรจึงจะรอดและปลอดภัย
ตัวเลขทางการล่าสุดที่ออกมาเมื่อวันจันทร์ เท่ากับยอมรับว่าการระบาดของ "โควิดรอบใหม่" มีผลจนทำให้ต้อง "หั่น" ตัวเลข GDP ของไทยสำหรับปีนี้เหลือ 2.5-3.5%
และเมื่อดูตัวเลขทุกชุดแล้วก็เห็นชัดว่า เศรษฐกิจปี 2563 ที่ผ่านมานั้นหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 22 ปี หรือแย่สุดตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งซึ่งเป็นปีที่ GDP ไทยติดลบ 7.6%
คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2563 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 ว่า
เศรษฐกิจไตรมาส 4/2563 หดตัว -4.2% ส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งปี 2563 หดตัว -6.1%
การที่เศรษฐกิจไทยหายไป -6.1% ของปีที่ผ่านมา ยังถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 11 ปี นับจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2552
ปีนั้นผลผลิตมวลรวมของไทยอยู่ที่ -2.3%
ปี 2564 จะเป็นอย่างไรยังมีปัจจัยไม่แน่นอนอีกหลายประการ
แต่สภาพัฒน์พยากรณ์ว่าจะขยายตัว 2.5-3.5% ค่ากลาง 3% นั่นคือการลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5-4.5%
สาเหตุหลักคือการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่
แม้ว่าขณะนี้จะควบคุมการระบาดได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่เศรษฐกิจไตรมาส 1/2564 ยังคงมีข้อจำกัดอยู่
ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติคือหนึ่งในปัจจัยหลัก
โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2564 จะลดลงเหลือ 3.2 ล้านคน และสร้างรายได้ 3.2 แสนล้านบาท
จากเดิมที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 ล้านคน และสร้างรายได้ 4.9 แสนล้านบาท
สศช.คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2564 จะขยายตัว 5.2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.9% ปริมาณการค้าโลกขยายตัว 7.7% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 48-58 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทอยู่ที่ 29.5-30.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัว 5.8%
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 2%
การลงทุนรวมขยายตัว 5.7%
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.0-2.0% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.3% ของ GDP
คุณดนุชาวิเคราะห์ว่า ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจปี 64 มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการค้าโลกที่ขยายตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อียู และญี่ปุ่น
และแน่นอนการกระจายวัคซีนในประเทศเศรษฐกิจหลักที่เร็วกว่าที่คาดไว้ การเบิกจ่ายของภาครัฐ และการขยายตัวอย่างช้าๆ ของอุปสงค์ในประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงมีอาทิ การระบาดของโควิด-19 และประสิทธิภาพในการกระจายวัคซีน ความล่าช้าในการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ภัยแล้ง และหนี้ครัวเรือน เป็นต้น
ถ้าถามนักเศรษฐศาสตร์ที่เกาะติดกับตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศจะได้ข้อสังเกตสำคัญๆ ว่า คำถามใหญ่อยู่ที่ไทยจะสามารถเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศได้เมื่อไร
เพราะถ้าหากนักท่องเที่ยวยังไม่กลับมา เครื่องยนต์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยก็จะยังไม่สามารถติดเครื่องวิ่งได้อีกครั้ง
และเศรษฐกิจไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะ "ต่ำกว่าศักยภาพ" ไปเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร
การประเมินว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเมื่อไหร่ ปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งคือ คนไทยจะได้วัคซีนอย่างกว้างขวางก่อนสิ้นปีนี้หรือไม่
และอยู่ที่ไทยจะทำข้อตกลงกับประเทศอื่นที่ได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนของเขาได้มากน้อยเพียงใด
อีกทั้งยังสามารถจะมีข้อตกลงเรื่องการใช้ "พาสปอร์ตวัคซีน" อย่างเป็นกิจจะลักษณะได้มากน้อยเพียงใด
แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายค่ายก็ยืนยันว่า ระหว่างนี้จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหมาะสมและตรงเป้า
และรัฐบาลจะต้องเร่งการใช้จ่ายในโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและท้องถิ่นเพื่อสร้างงานและปรับทักษะของแรงงาน
โดยให้มีการ "รั่วไหล" น้อยที่สุด
อีกด้านหนึ่งคือ การใช้โอกาสนี้เร่งซ่อมสร้างหลายเรื่องที่ไทยต้องมองไปในระยะกลางและระยะยาว เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทดแทน, เทคโนโลยี, โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวในท้องถิ่น และปฏิรูปด้านการศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าอุปสรรคสำคัญของบ้านเมืองนั้นเกิดจากการที่ยังไม่สามารถปรับลด-ละ-เลิกกฎระเบียบล้าสมัย ที่ทำให้เราไม่สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านมากขึ้นทุกวัน
ถึงจุดนี้การตั้งเป้าแค่ "รอด" ยังไม่พอ ต้อง "รุ่ง" ด้วย
แต่ในโครงสร้างการเมืองอย่างทุกวันนี้ จะมีใครสักกี่คนที่เชื่อว่าเราจะฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมได้?
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |