เมื่อเกิดรัฐประหารที่เมียนมา คำถามใหญ่สำหรับคนไทยคือรัฐบาลไทยควรจะมีจุดยืนอย่างไร
ปฏิกิริยาแรกของรัฐบาลไทยต่อเหตุการณ์ในเพื่อนบ้านด้านตะวันตก คือการประกาศว่าการยึดอำนาจโดย พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย เป็น “กิจการภายใน” ของประเทศนั้น
ต่อมาเมื่อมีแถลงการณ์ของคณะมนตรีความมั่นคง, สหประชาชาติ, และคำแถลงของบรูไนในฐานะประธานหมุนเวียนของอาเซียนปีนี้ ท่าทีของรัฐบาลไทยก็ปรับตาม
จากประโยคของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา จุดยืนของประเทศไทยก็คือจุดยืนของอาเซียนและของสหประชาชาติ
เอาเข้าจริงๆ จุดยืนของไทยในเรื่องนี้คือท่าที “อ้อมๆ แอ้มๆ” เหมือนพูดจาไม่ได้เต็มปากเต็มคำ
มีคนมองว่าเพราะผู้นำทหารของไทยใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้นำทหารของเมียนมา จึงมีความเกรงอกเกรงใจ ไม่ต้องการแสดงออกในรูปแบบที่จะกระทบความรู้สึกของนายพลเมียนมา
ทั้งๆ ที่ไทยเราก็คบหาเป็นทางการกับรัฐบาลเมียนมาภายใต้การนำของอองซาน ซูจี ตั้งแต่เลือกตั้งปี 2015 เป็นต้นมา
“ท่าทีที่ไร้ท่วงท่า” ของไทยยิ่งถูกมองว่า “ไร้จุดยืน” หนักขึ้น เมื่อผู้นำอาเซียนอย่างน้อย 4 ประเทศ คือ บรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซียและสิงคโปร์ได้ออกมาพูดจาชัดเจนว่า
1.ต้องมีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนนัดพิเศษเพื่อปรึกษาหารือทางออกของเมียนมา
2.ต้องตอกย้ำถึงความสำคัญของ “กฎบัตรอาเซียน” หรือ Asean Charter ที่รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียนำมากล่าวอ้างว่าได้ระบุถึงความรับผิดชอบร่วมของประเทศสมาชิกต่อเรื่องประชาธิปไตย, นิติธรรม, เสรีภาพ และธรรมาภิบาล
3.ต้องใช้หลักคิดแบบอาเซียนเรื่อง Constructive Engagement (หรือ “ความพัวพันอย่างสร้างสรรค์) เพราะแม้อาเซียนจะเคารพในหลักการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน” แต่ก็ต้องตระหนักว่าหากสถานการณ์ของประเทศใดกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ก็มีความจำเป็นที่อาเซียนจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยกันแก้ปัญหานั้นร่วมกัน
รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์แถลงข้อนี้ชัดเจนในรัฐสภาของเขาว่าอาเซียนจะต้องใช้ “Discreet and Constructive Engagement” ในการช่วยอำนวยความสะดวกที่จะหาทางออกให้กับเมียนมา
คำว่า discreet ในที่นี้หมายถึงปฏิสัมพันธ์ที่ “ละเมียดละไม” ไม่โฉ่งฉ่าง และ constructive อันหมายถึงการทำงานร่วมกันอย่าง “สร้างสรรค์”
เขาเรียกอาเซียนว่าเป็นคนใน “ครอบครัวเดียวกัน”
ซึ่งแปลว่าหากเราถือว่าประชาชนของทั้ง 10 ประเทศจะต้องมีความห่วงใยเอื้ออาทรต่อกัน
ความเชื่อมโยงที่อาเซียนใช้คำว่า connectivity นั้นย่อมไม่ได้หมายถึงเพียงการไปมาหาสู่ระหว่างผู้นำรัฐบาลหรือข้าราชการหรือนักธุรกิจเท่านั้น
หรือการเชื่อมโยงของถนนหนทางและการค้าขายซึ่งกันและกันเท่านั้น
แต่ยังต้องหมายถึงความรู้สึกผูกพันและห่วงใยของประชาชนที่มีต่อกันด้วย
นั่นแปลว่าเมื่อประชาชนคนเมียนมาออกมาเรียกร้องให้นายทหารที่ยึดอำนาจฟื้นคืนสิทธิ์การบริหารประเทศไปยังรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชน ประชาชนในอาเซียนอื่นๆ ก็ควรจะต้องรับฟังและสนับสนุนตาม “มติมหาชน” ของ “คนในครอบครัวเดียวกัน”
ความจริง ประเทศไทยมีความใกล้ชิดกับเมียนมาที่สุดในบรรดาสมาชิกอาเซียนด้วยกัน เพราะเราไม่เพียงแต่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวโยงกันมายาวนานเท่านั้น หากแต่ยังมีชายแดนติดต่อกันยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร
อีกทั้งผู้นำของไทยกับเมียนมาในทุกระดับ (ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติและภูมิภาค) มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาตลอด
แต่มีข้อสังเกตว่า เพื่อนอาเซียนบางประเทศอาจจะไม่ติดต่อให้ไทยเราเป็น “ผู้ประสาน” กับเมียนมาแทนอาเซียนอื่นๆ ก็เพราะเขาหวั่นเกรงว่าผู้นำไทยบางคนอาจจะมีความ “เกรงอกเกรงใจ” ผู้นำทหารเมียนมาจนไม่อาจจะทำหน้าที่เป็น “คนกลางที่ไร้ผลประโยชน์ทับซ้อน” หรือ honest broker ได้
หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับประเทศไทย เพราะเรากำลังจะพลาดโอกาสสำคัญที่จะแสดงความเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ในอันที่ช่วยระงับความขัดแย้งให้กับเพื่อนบ้านได้
“การทูตไทย” ที่เคยเป็นจุดเด่นของภูมิภาค เคยเป็น “จุดแข็ง” เพราะความ “พลิ้วไหวแห่งศิลปะทางการทูตสากล” หมดความศักดิ์สิทธิ์ลงเพราะ “จุดอ่อน” ของผู้นำไทยที่นำตัวไปพัวพันกับปัจจัยที่เป็นผลลบต่อประเทศชาตินั่นเอง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |