ถ้าต้องการรู้ว่าทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะไปทางไหน ต้องดูแนวทางของสาวใหญ่วัย 74 คนนี้
เธอคือผู้หญิงคนแรกในอเมริกาที่ได้เป็นประธาน Fed หรือธนาคารกลางระหว่าง 2014-2018 ภายใต้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา
และวันนี้เธอสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เป็นผู้หญิงคนแรกเช่นนี้โดยการเสนอชื่อของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
เจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) ได้รับการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนที่ 78 ของสหรัฐฯ ถือเป็นสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้นั่งในตำแหน่งนี้นับตั้งแต่มีการก่อตั้งกระทรวงการคลังเมื่อ 232 ปีก่อน
วุฒิสภารับรองเธอในตำแหน่งนี้ด้วยคะแนนเสียง 84-15
เป็นรัฐมนตรีคนที่ 3 ในคณะทำงานของนายไบเดนที่ผ่านการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ
เธอมีบทบาทสำคัญ เพราะจะเป็นแรงสำคัญในการผลักดันมาตรการบรรเทาทุกข์จากโควิด-19 ชุดใหม่ มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับเงินไทยกว่า 57 ล้านล้านบาท
เงินก้อนนี้มากกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทยเกือบ 20 เท่า
งบพิเศษก้อนนี้ถูกคัดค้านอย่างแข็งขันจากฝั่งพรรครีพับลิกัน ทำให้ไบเดนต้องต่อรองและประนีประนอมกับซีกของรีพับลิกันเพื่อให้คลอดออกมาโดยเร็ว
หาไม่แล้วรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ จะตกอยู่ในสภาพที่ลำบาก ไม่อาจทำให้คนอเมริกันเห็นว่ามีความสามารถมากกว่ายุคของโดนัลด์ ทรัมป์
สมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกันหลายคนบอกว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางอย่างของเธอ โดยเฉพาะการเพิ่มภาษีสำหรับภาคธุรกิจและผู้มีรายได้สูง แต่ก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว
เยลเลนมีแนวทางที่จะต้อง "ลุย" ไปข้างหน้า เพราะหากขืนรอช้าคนอเมริกันจำนวนมากจะตกอยู่ในสภาพทุกข์ยากด้านปากท้องอย่างหนักหน่วง
เธอบอกว่า "ถ้าเราไม่รีบคลอดความช่วยเหลือชุดใหม่นี้ เราก็อาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันยาวนาน และจะเกิดแผลเป็นทางเศรษฐกิจในระยะยาว"
แต่คนของพรรครีพับลิกันแย้งว่า มาตรการเยียวยาก้อนใหม่นี้มากเกินไป สร้างหนี้สินให้รัฐบาลสูงเกินจะรับได้ หรือไม่ก็ต้องปั๊มเงินจำนวนมหาศาลออกมาโดยไม่มีอะไรรับรองว่าจะเกิดผลดีทางปฏิบัติต่อคนอเมริกัน
เพราะที่เห็นชัดๆ อยู่ก็คือรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังขาดดุลงบประมาณสะสมเป็นมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์
นับถึงปีที่ผ่านมา ขนาดของการขาดดุลงบประมาณรวมกันถึง 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากที่ผ่านมาตรการช่วยเหลือมาแล้วก่อนหน้านี้ 2 ชุด มูลค่ารวม 3 ล้านล้านดอลลาร์
เยลเลนปลอบใจเหล่าบรรดาวุฒิสมาชิก ด้วยการบอกว่าเธอและประธานาธิบดีไบเดนตระหนักดีถึงปัญหาหนี้สะสมที่รัฐบาลกำลังเผชิญ
แต่ในภาวะเช่นที่เป็นอยู่ปัจจุบัน การควบคุมการระบาดและบรรเทาทุกข์ประชาชนต้องถือเป็นภารกิจอันดับแรกที่สำคัญกว่าเรื่องอื่นใด
ภายใต้มาตรการช่วยเหลือชุดใหม่นี้ ประชาชนอเมริกันจะได้รับเงินช่วยเหลือโดยตรงอีกคนละ 1,400 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 75,000 ดอลลาร์ต่อปี
นอกจากนั้นจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นชั่วโมงละ 15 ดอลลาร์
และยังจะมีงบประมาณสำหรับการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึงทั่วประเทศด้วย
เธอยืนยันว่าทางรอดของประเทศในเรื่องนโยบายการเงิน คือต้องเดินหน้าเชิงรุกอย่างเต็มที่อย่างไม่ลังเล
เยลเลนใช้คำว่า "Act Big" สำหรับการฝ่าข้ามวิกฤติครั้งนี้
คืออีกนัยหนึ่ง "เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ"
เธอรับปากว่าจะทำทุกอย่างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสู้ภัยโลกร้อน
อีกทั้งยังตอกย้ำความสำคัญของการต้องสู้กับจีน ในเรื่องที่ปักกิ่งยังถูกวอชิงตันมองว่าเอารัดเอาเปรียบทางด้านการค้า และยังใช้เงินรัฐอุดหนุนการส่งออกที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ
เธอยืนยันว่าที่ต้องขึ้นภาษีธุรกิจใหญ่และคนรวย ก็เพื่อจะได้เอาเงินมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, งานวิจัยและพัฒนา และฝึกฝนคนงานอเมริกันเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีโลก
"แต่ก่อนอื่นเราต้องใช้งบพิเศษนี้ปราบโควิด-19 ให้ราบคาบเสียก่อน"
นั่นคือความท้าทายหนักหน่วงที่รอคอยทีมเศรษฐกิจของไบเดน ที่ก็ยังตอบไม่ได้ว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ประกาศไว้เมื่อไหร่!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |