คำเตือนจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ว่าด้วยแนวทางของอาเซียนต่อวิกฤติเมียนมา มีประเด็นน่าสนใจตรงที่พูดเตือนเพื่อนๆ ในแวดวงกันเองทั้งทางตรงและทางอ้อม
ต้องไม่ลืมว่าสิงคโปร์เป็นต่างชาติที่มีการลงทุนในเมียนมาอันดับหนึ่ง
จึงถูกต้องว่าเมื่อเกิดปัญหาวุ่นวายที่นั่น สิงคโปร์ก็ต้องเดือดร้อนหนักที่สุด
ปกติหากเขาห่วง "เซ็งลี้" ในฐานะพ่อค้า ก็คงจะอยู่เฉยๆ รอดูว่าฝ่ายไหนชนะก็จะได้กระโดดเข้าข้างนั้น
แต่ก็มีคนมองว่า สิงคโปร์เพิ่งจะเข้าไปลงทุนในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็ช่วงที่อองซาน ซูจีชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2015
ดังนั้น ผู้นำสิงคโปร์จึงออกมาใช้ภาษาดุดันต่อรัฐประหาร เหมือนจะเข้าข้างฝ่ายพลเรือนมากกว่าทหาร
แต่นายกฯ หลี่ เสียนหลงตอบข้อสงสัยนี้ด้วยการยืนยันว่า การค้าและการลงทุนของสิงคโปร์ในเมียนมาไม่ได้มีมากมายถึงขั้นเป็นปัจจัยที่กำหนดจุดยืนของเขา
หลี่ เสียนหลงเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นที่เมียนมาว่าเป็น "โศกนาฏกรรม" เพราะการที่ทหารและตำรวจติดอาวุธไล่ยิงพลเรือนที่ประท้วงมือเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ "ยอมรับไม่ได้"
รัฐมนตรีต่างประเทศวิเวียน บาลาคริสนัน ใช้คำแรงกว่านั้น
เขาออกมาบอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเมียนมาใช้กระสุนยางและกระสุนจริงไล่สังหารผู้ชุมนุมที่ไร้อาวุธนั้นเป็นเรื่องที่ "ให้อภัยไม่ได้"
สิงคโปร์ไม่ยอมเรียกนายวูนนะ หม่อง ลวิน ว่าเป็น "รัฐมนตรีต่างประเทศ" คนใหม่ของเมียนมา
และยังเรียกอองซาน ซูจีว่าเป็น "ที่ปรึกษาแห่งรัฐ" และวิน มินต์เป็น "ประธานาธิบดี"
เท่ากับไม่ยอมรับรองสถานะทางกฎหมายของรัฐบาลทหาร
อีกทั้งยังบอกว่า คนที่มาร่วมประชุมออนไลน์กับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานั้นเป็น "ตัวแทนของเจ้าหน้าที่ทหารของเมียนมา"
เหมือนรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน 9 คนเจอกับตัวแทนกองทัพเมียนมา ที่มาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศของเขา
เพราะสิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ออกมาระบุชัดเจนว่า เหตุร้ายที่เมียนมาไม่ได้เพียงมีผลกระทบทางลบต่อประเทศเมียนมาเท่านั้น แต่ยังมีผลสะเทือนต่ออาเซียนและภูมิภาคนี้อีกด้วย
จึงไม่อาจจะตีความว่าเป็น "กิจการภายใน" ของเมียนมาอีกต่อไป
คำเตือนที่ต้องถือว่า "แรง" จากรัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ที่ได้กล่าวในรัฐสภาของเขาประโยคหนึ่งที่ควรแก่การวิเคราะห์อย่างยิ่ง คือประโยคที่เขาบอกว่า
เมื่อเผชิญกับวิกฤติของเมียนมาเช่นนั้น หากสมาชิกอาเซียนทั้งหมดสามารถจะรวมพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเหนียวแน่น ก็จะยังคงรักษาความสามารถในการต่อรองเพราะเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมในภูมิภาค
ภาษาในอาเซียนใช้คำว่า centrality ซึ่งสามารถตีความได้หลายแง่หลายมุม
แต่ผู้คิดคำนี้เพื่อให้อาเซียนมีความสำคัญในสายตาประเทศอื่นๆ ก็คือพลังของการรวมตัวของอาเซียนนั้นมีสูง ทุกคนต้องตระหนักในบทบาทของกลไกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้
แต่คุณวิเวียน บาลาคริสนันก็กล่าวต่อด้วยว่า
หากอาเซียนแตกแยก ไม่มีจุดยืนร่วมกันในกรณีเมียนมา ก็เสี่ยงที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
อาจจะกลายเป็น "proxy state" หรือ "รัฐตัวแทน" ที่ต้องมาฟาดฟันกันเองก็ได้
หรือไม่ก็เป็น "vassal state" คือเป็น "เมืองขึ้น" หรือ "ประเทศในอาณัติ" ของชาติอื่น
ไม่ต้องตีความหมายให้ยากก็เข้าใจได้ว่า เขากำลังเตือนว่าหากแต่ละสมาชิกอาเซียนมีท่าทีแบบ "ตัวใครตัวมัน" หรือเลือกที่จะอยู่ข้างมหาอำนาจบางประเทศ อาเซียนก็จะถึงแก่หายนะอย่างแน่นอน
เขาคงหมายถึงจีนและสหรัฐฯ ที่กำลังแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในภูมิภาคนี้
และกรณีเมียนมาก็อาจจะเป็นกรณีของการแก่งแย่งอำนาจระหว่างสองยักษ์นี้
หากอาเซียนไม่ผนึกกำลังกันให้เหนียวแน่น มีจุดยืนร่วมกันเพื่อปกปักรักษาอำนาจต่อรองของตน แต่เลือกที่จะไปเกาะเกี่ยวมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง
นั่นก็คือจุดอวสานของอาเซียน
ประโยคหลังนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ไม่ได้เอ่ยเอื้อนออกมาชัดเจนเช่นนั้น
ผมเป็นคนตีความให้เห็นภาพชัดๆ เท่านั้นเอง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |