สหรัฐฯ-จีน-รัสเซีย กับเกมแย่งอิทธิพลในเมียนมา


เพิ่มเพื่อน    

       เมื่อเกิดวิกฤติที่เมียนมา เราต้องจับตาดูลีลาของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา, จีน และรัสเซียอย่างใกล้ชิด

            ขณะเดียวกันก็ต้องประเมินจุดยืนของอินเดีย, สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

            แน่นอนสำหรับประเทศไทยแล้วแนวทางของอาเซียนมีความสำคัญที่สุด

            เพราะไทยเป็นสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญในอาเซียน

            และอาเซียนจะมีบทบาทที่สำคัญในการแสวงหาทางออกที่สันติทางการเมืองให้เมียนมาได้อย่างดีเช่นกัน

            ณ จุดนี้เพื่อนเราในอาเซียนแบ่งเป็น 3 กลุ่ม

            กลุ่มแรก เดินหน้าอย่างแข็งขันที่จะให้กองทัพเมียนมายุติการปราบปรามผู้ประท้วงเพื่อให้ "ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง" หันหน้ามาคุยกันเพื่อหาทางออกทางการเมือง

            กลุ่มนี้มีอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และสิงคโปร์เป็นแกน

            อีกกลุ่มหนึ่ง มีแนวทางโอนเอียงไปทางด้านทหารเมียนมา เพราะรูปแบบการปกครองของตนเองก็ยังเป็นการรวมศูนย์ที่เสี่ยงกับการถูกโยงไปสู่ความขัดแย้งได้เช่นกัน

            กลุ่มสองนี้มีเวียดนามและ สปป.ลาวเป็นหลัก

            ไทยอยู่ตรงกลางของสมการนี้ แต่หากเราไม่วางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนก็จะแปรจุดแข็งเป็นจุดอ่อนได้

            หากเรายังอ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาวันนี้เป็น  "กิจการภายใน" ขณะที่สหประชาชาติและเพื่อนอาเซียนหลายประเทศประกาศว่า ความโหดเหี้ยมของการปราบปรามเป็นการละเมิดหลักการสิทธิมนุษยชน...จึงเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

            นั่นย่อมไม่ใช่ "กิจการในประเทศ" อีกต่อไป

            จุดยืนของไทยจึงต้องมี "ความเป็นสากล"

            มิใช่อ้างถึง "ความสัมพันธ์ของทหารทั้งสองประเทศ"

            โดยไม่คำนึงถึงการตีความของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ยึดหลักการสากลอย่างที่เห็นกันอยู่วันนี้

            รัสเซียแสดงตนชัดเจนว่าอยู่ข้างพลเอกมิน อ่อง หล่าย ด้วยการส่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมไปร่วมพิธีสวนสนามวันกองทัพเมียนมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา

            อีกทั้งยังออกข่าวอย่างเอิกเกริกว่ารัสเซียเห็นเมียนมาเป็นเพื่อนมายาวนาน

            มิน อ่อง หล่าย กล่าวในคำปราศรัยทางการเรียกรัสเซียเป็น "มิตรแท้"

            จีนส่งระดับผู้ช่วยทูตทหารไปร่วมงานเหมือนอีก 6  ประเทศ คือ อินเดีย, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, เวียดนาม, ลาว และประเทศไทย

            เห็นได้ชัดว่าปักกิ่งพยายาม "รักษาระยะห่าง" กับเมียนมาพอสมควร

            ไม่ถึงกับถอยห่างแต่ก็ไม่ต้องการให้เห็นว่ามีความสนิทสนมเป็นพิเศษ

            รัสเซียขยับเข้าใกล้มากกว่าจีนในกรณีนี้

            เพราะมอสโกเดินนโยบายปะฉะดะกับสหรัฐฯ เต็มตัว

            อะไรที่วอชิงตันบอกว่าเป็นสีดำ มอสโกจะต้องบอกว่าเป็นสีขาว

            ขณะที่จีนจะเรียกมันว่าสีเทา

            สหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปดึงเอาญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มาเป็นพวกในการออกแถลงการณ์ร่วมของผู้นำเหล่าทัพ 12  ประเทศที่ใช้ภาษาแข็งกร้าว

            ประณามกองทัพเมียนมาที่ใช้กำลังปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยม

            สำหรับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นการออกตัวอย่างแรงกว่าที่ผ่านๆ มา

            แต่สองประเทศนี้ต้องการจะแสดงออกว่าเป็นแนวร่วมกับอเมริกาและยุโรป ในบรรยากาศการเมืองโลกใหม่หลังจากโจ ไบเดนขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

            เมื่อยักษ์ใหญ่ประลองกำลังกันในเอเชียกรณีเมียนมาเช่นนี้ บทบาทของอาเซียนจะมีความสำคัญยิ่ง

            มีคำเตือนจากนักวิชาการเมียนมาเองว่า หากเมียนมากลายเป็น "รัฐล้มเหลว" เพราะกองทัพใช้กำลังปราบปรามประชาชนของตนเองอย่างไร้ศีลธรรม ดินแดนแห่งนี้ก็จะกลายเป็น "สมรภูมิประหัตประหาร" แก่งแย่งอิทธิพลของมหาอำนาจอีกครั้งหนึ่ง

            เห็นภาพของความปั่นป่วนเช่นซีเรีย, ลิเบีย และอิรักโผล่ขึ้นมาเหนือเมียนมาข้างๆ บ้านเราทันที

            หากเมียนมากลายเป็นแดนมิคสัญญีเหมือนซีเรีย ลองจินตนาการว่าประเทศไทยเราจะตกอยู่ในภาวะน่าอันตรายเพียงใด

            สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปต้องการจะเด็ดหัวมิน อ่อง หล่าย เพื่อให้เมียนมากลับสู่เส้นทางประชาธิปไตย

            ยิ่งนี่เป็นยุคของโจ ไบเดนที่ชูเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพอย่างสูง ก็ยิ่งทำให้กรณีเมียนมากลายเป็นจุดทดสอบของวอชิงตัน

            จีนต้องการจะถ่วงดุลระหว่างผลประโยชน์ของตนในเมียนมากับภาพลักษณ์ของตนในเวทีระหว่างประเทศ

            รัสเซียทุ่มสุดตัวในเมียนมาครั้งนี้เพื่อปักหมุดอิทธิพลของตนในเอเชียอาคเนย์คานอำนาจของอเมริกาด้วย

            อาเซียนมีความสัมพันธ์กับประเทศยักษ์เหล่านี้ในระดับดีทั้งหมด จึงอยู่ในฐานะที่จะใช้บทบาทการเป็น "คนกลางที่ไร้ผลประโยชน์ทับซ้อน" หรือ Honest Broker

            เพื่อใช้หนทางการเจรจาและการทูตเพื่อหาทางออก ก่อนที่เมียนมาจะกลายเป็น "รัฐล้มเหลว" ที่คุกคามเสถียรภาพของภูมิภาคนี้อย่างน่ากังวลยิ่ง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"