
วิกฤติพม่าครั้งนี้ กรุงเทพฯ อาจจะกลายเป็น “ศูนย์กลางแห่งความเคลื่อนไหว” สำหรับผู้คนที่กำลังพยายามหาทางออกที่ต้องเชื่อมโยงกับ “ตัวละคร” สำคัญๆ ทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทูตพิเศษกิจการเมียนมาจากสหประชาชาติ Christine Schraner Bergener บินมาถึงกรุงเทพฯ เพื่อพบปะ ปรึกษาหาทางออกจากวิกฤติเมียนมา รวมทั้งคุณดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย
แต่เธอต้องถูกกักตัว 7 วันก่อน (ไม่ใช่ 14 วันเพราะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว)
ในทวิตเตอร์ เธอบอกว่าทางทหารเมียนมาตอบคำขอของเธอที่จะพบผู้นำเหล่าทัพแล้วว่า “เราไม่พร้อม”
แต่เธอไม่ท้อ บอกว่ามีความเชื่อมั่นว่าการพูดจาทางการทูตเท่านั้นที่จะเป็นทางออกจากวิกฤติพม่าได้
นักการทูตอาวุโสท่านนี้คุ้นเคยกับกรุงเทพฯ พอสมควร เพราะเคยเป็นเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำไทยมาก่อน
เธอมีลักษณะเป็นนักการทูตสไตล์ยุโรป คือขึงขัง ตึงตัง
พอเจอกับนายทหารระดับเบอร์สองของการรัฐประหารเมียนมาอย่างพลเอกโซ วิน ที่พูดแทนพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ในหลายๆ เรื่องก็กลายเป็น “ดรามา” ที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว
หลังรัฐประหารที่เมียนมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ไม่กี่วัน คุณคริสตินก็โทรศัพท์ไปคุยกับนายพลโซ วิน
พอจะจินตนาการได้ว่าทั้งสองคนยืนอยู่คนละข้างโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายทูตพิเศษสหประชาชาติก็คงจะใช้ภาษาขึงขัง ทำนองบอกกล่าวกับนายพลนักปฏิวัติว่า หากยังปราบปรามผู้ประท้วงด้วยอาวุธและจับไล่ล่ากันอย่างดุเดือดอย่างที่เป็นข่าว กองทัพเมียนมาก็จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน
นายพลโซ วิน ก็คงจะยืนยันว่ากองทัพต้องจัดการกับผู้ต่อต้าน เพราะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งภายใต้กฎอัยการศึก
ทูตคริสตินก็คงจะพูดถึงเรื่องการคว่ำบาตรและมาตรการลงโทษต่างๆ ของประชาคมโลก และเตือนว่าหากกองทัพพม่ายังไม่หยุดการกระทำต่างๆ ที่ว่า ก็อาจจะถูกโดดเดี่ยวอีกครั้ง
วงการการทูตรายงานว่า เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายพลพม่าคนนี้ก็ระเบิดออกมาว่า
“คุณไม่ต้องมาขู่เรา เรามีความเคยชินกับการที่จะอยู่โดยมีเพื่อนไม่กี่คนอยู่แล้ว”
ข่าวต่อมาบอกว่า ทั้งสองไม่ได้มีโอกาสจะกล่าวคำอำลาตามมารยาทด้วยซ้ำ
เพราะคนใดคนหนึ่งวางหูใส่อีกฝ่ายหนึ่งด้วยอารมณ์เดือดดาลยิ่ง!
นั่นแปลว่าทูตคริสตินคงจะต้องพยายามเล่นบทนักการทูตต่อไปด้วยการบินมาถึงกรุงเทพฯ โดยหวังว่าจะยังคงสามารถต่อสายคุยกับฝ่ายทหารของเมียนมาจากกรุงเทพฯ
หรืออาจจะมีโอกาสได้พบปะตัวแทนของเมียนมาฝ่ายต่างๆ ที่นี่
แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวัง เพราะพอลงจากเครื่องบินที่กรุงเทพฯ เธอก็ได้รับข้อความจากฝ่ายกองทัพเมียนมาทำนองว่า
“เราไม่พร้อมจะต้อนรับคุณ”
ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายว่าฝ่ายนายพลเมียนมาคงไม่อยากจะพูดจาอะไรกับทูตสหประชาชาติ เพราะรู้ว่าจะต้องเจอกับแรงกดดันอย่างไร
จังหวะที่ทูตยูเอ็นคนนี้มา “กักตัว” 7 วันอยู่ที่กรุงเทพฯ นี้ วงการทูตของอาเซียนก็กำลังเร่งความพยายามที่จะจัดให้มีการ “ประชุมผู้นำสุดยอด” เพื่อปรึกษาหารือเรื่องของพม่า
ขณะที่ผมเขียนคอลัมน์อยู่ยังไม่มีความแน่นอนว่าการประชุมที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้วันไหน หรือที่ไหน และจะเป็นลักษณะออนไลน์หรือออฟไลน์
เพราะเดิมทีข่าวบอกว่าจะจัดการประชุมสุดยอดนี้ตามคำเรียกร้องของประธานาธิบดีโจโกวี ของอินโดนีเซีย ที่จาการ์ตา
มีข่าวว่าอาจจะเป็นวันที่ 20 เมษายน แต่ก็ยังไม่ได้รับคำยืนยันแต่อย่างไร
ผมคาดว่าก่อนที่จะกำหนดวันและรูปแบบการประชุมนั้น ระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียนจะต้องตกลงกันให้ได้ก่อนในหลายๆ ประเด็น เช่น
จะเชิญผู้นำพม่ามาด้วยไหม
ถ้าเชิญ จะเชิญทั้งมิน อ่อง หล่าย และอองซาน ซูจี หรือไม่
ถ้าเชิญอองซาน ซูจี มิน อ่อง หล่าย จะยอมหรือไม่
ถ้าการเชิญผู้นำพม่ามาร่วมประชุมด้วยจะมีอาการ “เกร็ง” กันทุกฝ่ายหรือไม่
หรือจะประชุมเฉพาะผู้นำ 9 ประเทศก่อนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังกับปัญหาของพม่า
อีกทั้งต้องตกลงกันล่วงหน้าด้วยว่าแถลงการณ์ร่วมของผู้นำอาเซียนจะเขียนอย่างไร...จะใช้คำไหนและหลีกเลี่ยงคำไหน
เพราะมีการมองกันแล้วว่าสมาชิกอาเซียนมีความเห็นที่แปลกแยกกันในเรื่องนี้พอสมควร
โดยแบ่งเป็นกลุ่มประเทศอินโดฯ, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และบรูไน ที่ค่อนไปทางเชิงรุก
และเวียดนาม, กัมพูชา, สปป.ลาว และไทย ที่โอนเอียงไปทาง “เกรงอกเกรงใจ” กองทัพเมียนมา
ถ้าไทยเราไม่ใช้ “วิกฤติ” นี้เป็นโอกาสที่จะเล่นบท “ผู้ประสานสิบทิศ” ให้เกิดสันติภาพในพม่า ก็เท่ากับ “โยนผ้า” กลางเวทีระหว่างประเทศอย่างน่าเสียดายยิ่ง!.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |