
คำว่า “วัคซีนทางเลือก” เป็นข่าวขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนเข้าพบนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่ามกลางความกังวลว่าการระบาดรอบ 3 ของโควิด-19 จะน่ากลัวกว่าครั้งที่ผ่านมา
น้ำเสียงของนายกฯ เปลี่ยนไป...ยืนยันว่าไม่เคยกีดกันเอกชนช่วยหาวัคซีนเพื่อฉีดให้ประชาชน
เป็นวันเดียวกับที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งประกาศหยุดรับคนมาตรวจหาโควิด บ้างก็บอกว่าน้ำยาหมด บ้างก็บอกว่าเตียงไม่พอ
เหตุผลจริงๆ ก็คือโรงพยาบาลเอกชนประเมินแล้วหากเป็นไปตามแนวโน้มที่เห็นอยู่คงรับไม่ไหวแน่....หากรัฐบาลไม่เปลี่ยนท่าทีต่อบทบาทเอกชนในการช่วยสู้กับโควิด
เป็นที่มาของคำชี้แจงจากคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า “รัฐบาลยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนมาร่วมในการแสวงหาวัคซีนมาบริการประชาชน”
คุณอนุทินพูดถึงที่เอกชนจะช่วยจัดหา “วัคซีนทางเลือก” 10 ล้านโดส ว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขยินดีอย่างยิ่ง หากภาคเอกชนจะเข้ามาแบ่งเบาภาระ
และบอกว่าที่ผ่านมาได้ให้เอกชนไปหารือกับผู้ผลิต หาวัคซีนมาขึ้นทะเบียน และให้บริการ ไม่มีการห้ามแต่อย่างใด

คุณอนุทินบอกว่าประเทศไทยต้องการมีทางเลือกที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว
ถ้าเอกชนไปหารือกับทาง Pfizer ได้สำเร็จ ก็นำมาขึ้นทะเบียนกับ อย.ได้
เพราะกระทรวงสาธารณสุขทำทุกทางที่จะให้ไทยได้วัคซีนเข้ามาใช้อย่างเหมาะสม คุณอนุทินบอกว่า เขาเคยพูดคุยกับผู้ผลิตหลายต่อหลายเจ้า โดยผู้ผลิตพร้อมขึ้นทะเบียนกับไทย แต่มีเงื่อนไขว่าไทยต้องซื้อวัคซีนเท่านี้ จัดส่งได้ตามระยะเวลานี้ ซึ่งไทยไม่ได้ต้องการขนาดนั้น และระยะเวลาการจัดส่งก็อาจจะช้าไปแล้ว การพูดคุยก็ยุติลง
แต่ไม่เคยลดละความพยายามที่จะให้ทางผู้ผลิตมาขึ้นทะเบียน
วันนี้รัฐบาลไทยขึ้นทะเบียนวัคซีนไป 3 ยี่ห้อคือ แอสตราเซเนกา ซิโนแวค และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
สำหรับแบรนด์ตัวสุดท้ายนี้ ทางรัฐบาลไทยได้ขอซื้อแล้ว แต่ทางนั้นแจ้งว่าสามารถส่งวัคซีนได้ช่วงปลายปี ซึ่งชนกับรอบการผลิตของแอสตราเซเนกาพอดี
ถึงตอนนั้น คุณอนุทินเชื่อว่าเราไม่มีความจำเป็นขนาดนั้นแล้ว
อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ จะต้องเผื่อการกลายพันธุ์ของเชื้อด้วย
เป็นเหตุผลที่เขาบอกว่ารัฐบาลจึงไม่ซื้อวัคซีนมามากมายมหาศาล แค่ซื้อให้ทันฉีด ทันใช้ ไม่มีเหลือค้างสต๊อกจำนวนมากมาย
รัฐบาลต้องมี Plan B สำหรับรองรับกรณีเชื้อกลายพันธุ์ด้วย ไม่ใช่ว่าซื้อวัคซีนมาแล้ว เสียเงินมหาศาล งบหมด ได้วัคซีนมากองกันไว้ แต่ใช้ไม่ได้ เพราะไม่ทันกับเชื้อโรค
ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนที่พบนายกฯ และคุณอนุทินสัปดาห์ที่แล้ว เสนอตัวพร้อมที่จะช่วยหาวัคซีนเพิ่มอีก 10 ล้านโดส...แต่ขอให้รัฐบาลช่วยออก Letter of Intent เพื่อกรุยทางให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
ประเด็นเรื่องโรงพยาบาลเอกชนไม่รับตรวจโควิด-19 ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาทางแก้ไข เพราะทำให้เกิดความหวั่นไหวในความรู้สึกของประชาชนเช่นกัน
คุณอนุทินบอกว่า ได้หารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และพบว่าปัญหาคือ โรงพยาบาลเอกชน ถ้าตรวจเจอ แล้วต้องรักษา จึงกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ
ภาครัฐต้องหาทางแก้ปัญหานี้ น่าจะคลี่คลายในเร็ววันนี้
ภาพที่พอจะเห็นได้ในขณะนี้คือ จำนวนผู้ติดเชื้อจะต้องพุ่งแน่ ดังนั้นหนีไม่พ้นว่าจะต้องเตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนามไว้ ควบคู่กับ Hospitels ที่จะรองรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ
หากมีอาการก็ย้ายเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีทรัพยากรมากกว่า
รัฐมนตรีสาธารณสุขบอกว่า “ตอนนี้มาตรการที่ออกมาก็เข้มขึ้น หวังว่าจะสามารถกดยอดผู้ป่วยลงได้ในเร็ววันนี้ แต่ถึงสถานการณ์จะแย่ลง กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เตรียมการไว้อย่างครบถ้วน ทั้งเตียง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกัน และบุคลากรด้านการสาธารณสุข”
แต่แม้จะอ้างว่า “เตรียมพร้อมทุกด้าน” แล้ว ทุกคนก็รู้ว่าหากจำนวนคนติดเชื้อเกินวันละ 1,000 คน หรือพุ่งไปหลายพันคนก็จะกลายเป็น “วิกฤติ” ที่จริงแท้และแน่นอน
คำว่า “พร้อม” จึงต้องมาคู่กับ “ความสามารถในการบริหารวิกฤติ”
เพราะบทเรียนจากการระบาดรอบก่อนๆ มิอาจจะนำมาแก้ไขการ “กลายพันธุ์” ของปัญหาในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนได้เลย!.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |