'แม้ว-ปู'ป่วนประเทศ บิ๊กตู่ซัด2คนขยับเดือดร้อน!ขอตปท.อย่าให้พวกทำผิดเคลื่อนไหว


เพิ่มเพื่อน    

   "บิ๊กตู่" เดือด! ซัดมี 2 คนขยับอยู่ต่างประเทศ แต่ทำให้ปั่นป่วนเดือดร้อนคนทั้งประเทศ ยกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขอแต่ละประเทศเคารพกฎหมายไทย อย่าให้คนทำผิดกฎหมายเคลื่อนไหว  ชี้เจตนาไม่บริสุทธิ์หวังผลการเมือง ลั่นถ้าไม่ใช้กฎหมายก็บานปลาย "ดอน" ไม่ได้สั่งการพิเศษหลังปรากฏภาพ "แม้ว-ปู" ที่ปักกิ่ง อ้างไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย "มาร์ค" ชี้ 2 พี่น้องเจตนาปล่อยภาพ  สะพัด! ลูกหาบเพื่อแม้วเตรียมบินพบ "นายใหญ่-นายหญิง" ที่ฮ่องกง 13-17 ก.พ.นี้ ปัดข่าวขอให้เปลี่ยนตัว "เจ๊หน่อย" ผู้นำทัพเลือกตั้งเป็นคนอื่น    
    ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.15 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ เข้าร่วม 
    ก่อนเริ่มงาน พล.อ.ประยุทธ์ได้เยี่ยมชมนิทรรศการที่ห้องโถง ตึกสันติไมตรี และได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการเยี่ยมชมว่า "ขณะนี้ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งความจริงแล้วสิทธิมนุษยชนต้องไม่ละเมิดกฎหมาย และต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ปรองดอง แต่ขณะนี้ประเทศไทยมี 2 คนขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมดในประเทศ ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
    นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมเกม SIM Democracy ซึ่งเป็นเกมเมืองประชาธิปไตย ให้ผู้เล่นทอยลูกเต๋า  เปิดการ์ดแล้วให้แก้ปัญหาในเรื่องของสิทธิมนุษยชนประชาธิปไตย โดยนายกฯ ได้ขอให้มีการตั้งกติกาที่จะต้องลดความขัดแย้งและมีธรรมาภิบาลในสังคม พร้อมกล่าวว่า "หากใครทำผิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม" และกล่าวย้ำอีกว่า "ขยับทีเป็นข่าวไปหมด เดือดร้อนคนทั้งประเทศ"
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ มีสีหน้าดุดันขณะที่กล่าวถึงเรื่องนี้ พร้อมกันนี้คณะนักเรียนโรงเรียนราษฎร์บูรณะ (มูฮำหมัดอุทิศ) ได้ร้องลิเกฮูลูสิทธิและเสรีภาพให้นายกฯ ฟัง ซึ่งนายกฯ กล่าวชื่นชมในความสามารถของเด็กๆ พร้อมสร้างรอยยิ้มให้นายกฯ ได้
    จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อประกาศ "วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัจจุบันเรื่องสิทธิมนุษยชนทุกประเทศให้ความสำคัญ โดยเฉพาะองค์การระหว่างประเทศ เพราะเป็นหลักการสากลที่ทั่วโลกยอมรับ ที่จะช่วยให้เกิดสันติภาพ มีความเจริญก้าวหน้าต่อมวลมนุษยชาติ แต่ยอมรับว่ายังมีปัญหาอยู่บ้างที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนและดำเนินการต่อไปให้ได้ แม้ว่ารัฐบาลนี้จะเข้ามาอยู่ในช่วงเวลาที่จำกัด  แต่ก็พยายามที่จะเริ่มต้นแก้ไขขจัดอุปสรรคต่างๆ โดยเร็วที่สุด ให้เป็นไปตามหลักสากล รัฐบาลไทยมีเจตนารมณ์และมุ่งมั่นในการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นานาประเทศและกับคนไทยด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ รู้สิทธิหน้าที่ รู้กฎหมาย เคารพสิทธิซึ่งกันและกันโดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น
    "เราต้องพูดให้ครบ เรื่องการมีสิทธิเสรีภาพ เราจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ถือเป็นเรื่องสำคัญ จะต้องคำนึงถึงหลักปฏิญญาสากล สิทธิมนุษยชนในฐานะที่เราเป็นสมาชิกภาคีขององค์การสหประชาชาติ โดยเรามีสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันไม่เคยละเลยการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งรัฐธรรมนูญก็มีการกล่าวไว้อย่างชัดเจน และทุกวันนี้เรามักไปอ้างในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักของประเทศ แต่อย่าลืมว่าเรายังมีกฎหมายลูกอีกจำนวนมากภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรามี พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ จึงขอความกรุณาช่วยศึกษากันให้รอบคอบด้วย ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งจะเกิดขึ้น เพราะกฎหมายลูกจำนวนมากไม่ได้รับการปฏิบัติ โดยอ้างกฎหมายหลักเพียงฉบับเดียว ถือว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งทุกประเทศก็คงเป็นเช่นนี้ เพราะแต่ละประเทศก็มีกฎหมายเป็นของตัวเอง" 
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ตนไม่ต้องการให้กฎหมายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง หรือทำให้เกิดความไม่เข้าใจ เกิดความสับสนอลหม่านในประเทศของเราและทั่วโลก ดังนั้นเจ้าหน้าที่และประชาชนต้องร่วมมือกันลดความขัดแย้งที่เกิดจากกฎหมายให้ได้ สังคมสันติสุขจะอยู่ได้ด้วยมนุษย์  ประชาชน รัฐบาล เจ้าหน้าที่ ตราบใดที่ประเทศไม่มีสันติสุขก็จะพัฒนาไม่ได้ หลายประเทศได้ก้าวพ้นปัญหาความขัดแย้งไปแล้ว แต่ละประเทศมีปัญหาที่แตกต่าง รัฐบาลนี้ยืนยันที่จะผ่อนคลาย ทำทุกอย่างไปสู่ความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด เพื่อไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและเป็นสากล 
อย่าให้คนทำผิดเคลื่อนไหว
     นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือเรื่องการเมือง จะทำอย่างไรให้การเมืองกับกฎหมายเกิดความสมดุล เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความวุ่นวายมีปัญหาในการที่จะเป็นประชาธิปไตย จากการตรวจสอบพบว่า ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้เลยว่าอะไรผิดถูก ขณะเดียวกันมีผู้นำเข้าไปขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ แก้ไม่ถูกจุด ตรงนี้ถือเป็นประเด็นที่ขอฝากไว้ด้วย
    "หลายๆ ประเทศอย่างที่บอก เมื่อมีปัญหาในประเทศก็มีผู้นำ จะดีหรือไม่ดีเราไม่รู้ ผมไม่อาจกล่าวอ้างว่าเป็นผู้นำที่ดีที่สุด แต่ผมมีเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศนี้ให้ได้ นี่ผมพูดกับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายที่เป็นชาวต่างประเทศ ถ้าเปรียบเทียบวันก่อนกับวันนี้ หลายคนที่อยู่ในประเทศมากว่าหนึ่งถึงสามปีขอให้คำนึงถึงตรงนี้ด้วย ฉะนั้นเราต้องสื่อสารด้วยกันทั้งสองทาง มีเรื่องก็แจ้งมาเราจะตรวจสอบให้ เมื่อตรวจสอบได้ข้อเท็จจริงมาก็จบแค่นั้น กฎหมายกระบวนการยุติธรรมว่าอย่างไรก็ไปว่ามา ไม่ว่าเจ้าหน้าที่หรือใครก็ตาม รัฐบาลจะลงโทษสถานหนักผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ขอให้แยกให้ออกว่าอะไรคือการละเมิดกฎหมาย หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น อะไรคือเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เส้นตรงนี้มันบางๆ ใกล้กัน ฉะนั้นขอฝากให้ช่วยกันดูแลด้วยจึงจะแก้ปัญหาได้"    
    นายกฯ กล่าวต่อว่า ไม่มีรัฐบาลประเทศใดอยากไปทำร้ายรังแกประชาชน โดยเฉพาะประเทศไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนให้คนเป็นอย่างนั้น มีคนดีและไม่ดีต้องแยกให้ออก ขอเน้นคำว่าการใช้สิทธิต่างๆ ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นด้วย ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้มีสิทธิเสรีภาพ แต่ก็ยังมี พ.ร.บ.หลายฉบับ ต้องไม่ละเมิดไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายหรืออาจจะมีการบิดเบือนหวังผลทางการเมืองด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์หรือบริสุทธิ์ก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้ต้องนำไปพิจารณาด้วยในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ฝากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ หากมองประเด็นใดประเด็นหนึ่งก็จะไม่สงบไม่ยั่งยืน 
    หัวหน้า คสช.กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยยังมีปัญหาอยู่โดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง ยังมีการกระทำผิดกฎหมายเพราะมุ่งหวังผลทางการเมือง เหล่านี้เรากำลังแก้ปัญหา ที่ผ่านมาการเมืองของไทยยังมีความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรงเหมือนขณะนี้ เราจะต้องดูแลกลุ่มผู้เปราะบาง เรื่องการเมืองก็คือการเมือง วันนี้ถามว่าออกมาเคลื่อนไหวการเมืองกันไหม ก็ออกมาทุกวัน แล้วจะปล่อยให้ไม่มีกฎหมายเลยได้หรือไม่ มันก็บานปลายไปเรื่อย พอดำเนินการตามกฎหมายปล่อยตัวออกมาก็เคลื่อนไหวกันอีก  ถามทุกประเทศจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
    "ใครคิดว่าประเทศไทยแก้ปัญหาไม่ถูกต้องช่วยแนะนำผมด้วย เพราะการเคลื่อนไหวนี้มีเจตนามุ่งหมายเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่เจตนาที่บริสุทธิ์ อนุโลมทุกวันไปเรื่อยๆ ถ้าสังคมโอเครับแบบนั้น ถ้าวุ่นวายก็แล้วแต่ เลือกเอา การจะแก้ปัญหาบางอย่างต้องใช้เวลา ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย หรือผู้ที่ถูกบังคับการใช้กฎหมาย ซึ่งมีปัญหาหมด ฉะนั้นเราอยากให้คำว่าสิทธิเสรีภาพหรือสิทธิมนุษยชนไปล้มทุกอย่าง  ก็จะเป็นปัญหาต่อเจ้าหน้าที่ รัฐบาล กสม. อัยการ และศาล ปัญหาเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในโลกนี้  ไม่อย่างนั้นจะเกิดการสู้รบ และต้องดูว่าใครที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง และใครทำให้เกิดความสงบสุข คือประชาชนทุกคน"
    "การจะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงหลักฐาน ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม บางคนกระบวนการครบแล้ว ลงโทษไปแล้ว ยังเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ จะทำอย่างไร ซึ่งหลายประเทศเขามองในเรื่องของเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว มองอื่นๆ เป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ แต่ผมคิดว่าประเทศไทยก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้นใครก็ตามที่ละเมิดกฎหมายของแต่ละประเทศมาทำผิดในประเทศไทย ผมก็ดำเนินคดีจับกุมอยู่จำนวนมากพอสมควร แล้วส่งตัวตามกฎหมายกลับไปลงโทษที่ประเทศต้นทาง เพราะฉะนั้นทุกประเทศต้องเคารพในสิ่งเหล่านี้ด้วย อย่าให้มีการเคลื่อนไหวของคนที่ทำผิดกฎหมายของแต่ละประเทศ ที่เราเคารพกฎหมายคนอื่น ดังนั้นคนอื่นต้องเคารพกฎหมายเราด้วยเช่นกัน นั่นคือความเป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประเทศไทย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
    ภายหลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธที่จะตอบข้อซักถามสื่อมวลชนกรณีความเคลื่อนไหวของนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  2 อดีตนายกฯ โดยกล่าวเพียงว่า "ผมไม่มีความเห็น ก็เป็นเรื่องของต่างประเทศเขา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาก็ทำกันอยู่แล้วในเรื่องของการติดตามตัว ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่เขาทำทุกครั้งและกับทุกคน ได้กลับมาบ้างไม่ได้กลับมาบ้าง"
    ผู้สื่อข่าวพยายามถามว่า แต่ดูเหมือนความเคลื่อนไหวของ 2 อดีตนายกฯ มีความสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวในประเทศไทยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ก็ผมไม่สนใจ อย่าไปสนใจเลย พวกคุณไปสนใจเขาทำไมล่ะ คุณสนใจคนทำผิดกฎหมายทำไม และเรื่องนี้ผมไม่มองอะไรทั้งสิ้น อยู่ที่พวกสื่อจะไปให้ความสำคัญแค่ไหน พวกคุณไปให้ความสำคัญกับไอ้กระพี้ก็ตามใจคุณ ผมไม่สนใจหรอก”
    เมื่อถามว่าแต่วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไปปรากฏตัวที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตัดบทด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ไม่รู้ ไม่มีความคิดเห็นนะครับ ขอบคุณครับ"
    จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการสั่งการและกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบแต่เดินย่ำส้นเท้าเสียงดังขึ้นบันไดตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที  
    ทั้งนี้ท่าทีอารมณ์อันเดือดพล่านของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากปรากฏภาพถ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน ณ กรุงปักกิ่ง หลังไม่มาฟังคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งศาลฎีกานักการเมืองสั่งจำคุก 5 ปี พร้อมกับภาพนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พี่ชายนักโทษหนีคุกคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ
    ด้านนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีภาพนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ที่กรุงปักกิ่งว่า เบื้องต้นมีรายงานอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ปรากฏตัวที่กรุงปักกิ่งจริง   ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการใดๆ เพราะตอนนี้เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และไม่ทราบว่าตอนนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือหนังสือเดินทางของประเทศใด  เพียงทราบจากข่าวว่าได้หนังสือเดินทางจากประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยวิธีการขอหนังสือเดินทางมีหลายรูปแบบ เช่นไปทำการค้าการลงทุนกับประเทศนั้นๆ จนได้รับหนังสือรับรอง อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เราได้แจ้งทุกประเทศให้รับทราบถึงกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว จากนี้คงต้องเป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่จะดำเนินการ
    ผู้สื่อข่าวถามว่ากระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานหรือไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์พำนักอยู่ที่ประเทศใดเป็นหลัก นายดอนกล่าวว่าเรื่องนี้จะต้องมีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าวที่มีออกมามากมาย หลังจากปรากฏภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณที่กรุงปักกิ่ง นายกฯ ไม่ได้มีการสั่งการใดๆ เป็นพิเศษ เพราะเราไม่ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย การพบกับ รมว.การต่างประเทศของอังกฤษที่เดินทางมาเยือนไทย ก็ไม่ได้มีการพูดคุยถึงกรณีดังกล่าว แต่ได้หารือถึงความสนใจของทั้งสองฝ่าย เช่นการเมืองทั่วไป เหตุการณ์รอบบ้านเรา 
    พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการประสานติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เพื่อดำเนินคดีหลังปรากฏตัวพร้อมกับนายทักษิณที่กรุงปักกิ่งว่า กระทรวงยุติธรรมโดยกรมบังคับคดี ได้ติดตามดำเนินการในส่วนของการบังคับคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน ส่วนการติดตามตัว สตช.และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนที่ทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอทุเลาการบังคับคดีอีกครั้ง ให้งดหรือชะลอการยึดทรัพย์จนกว่าคำพิพากษาจะถึงที่สุดนั้น  กระทรวงยุติธรรมได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว เราชี้แจงไปว่ากรมบังคับคดีจะทำตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องระบุถึงอำนาจหน้าที่ของกรมบังคับคดีไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะเรื่องดังกล่าวมีขั้นตอนกระบวนการระบุไว้ เราต้องทำตามขั้นตอน
2 พี่น้องเจตนาปล่อยภาพ
    พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งให้กองการต่างประเทศทำหนังสือถึงตำรวจสากล และกระทรวงการต่างประเทศของไทยตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องข้อมูลการเดินทาง สายการบิน ต้นทางและปลายทาง และใช้หนังสือเดินทางของประเทศอะไร อีกทั้งยังได้สั่งการให้กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจสอบภาพถ่ายดังกล่าวว่าเป็นภาพตัดต่อหรือไม่ และไม่ขอแสดงความคิดเห็นกับภาพของบุคคลทั้งสองคน ที่ออกมาในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง เนื่องจากตำรวจในฐานะที่รับหมายศาลมาให้ติดตามจับกุมก็ทำในส่วนที่ได้รับมอบหมาย โดยเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรได้สั่งกำชับให้ติดตามจับกุม
       รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ส่วนการติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังคงเดินหน้าทำต่อ โดยเฉพาะการประสานไปยังประเทศปลายทางที่ปรากฏภาพ ส่วนจะได้ข้อมูลมากน้อยเพียงใดนั้นอยู่ระหว่างดำเนินการ และที่ผ่านมาก็ได้ตรวจสอบพบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปยังประเทศอังกฤษและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนการขอลี้ภัยยังไม่มีข้อมูลต้องถามกองการต่างประเทศ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถยืนยันถิ่นพำนักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกราชอาณาจักร จะเอาข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำก็ต้องมีหลักฐานที่เป็นทางการ สำหรับกระแสข่าวอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปพบนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ ส่วนจะเรียกมาให้ข้อมูลหรือไม่นั้นเรื่องนี้ไม่ใช่งานในหน้าที่ 
    ที่นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้สื่อข่าวถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่าทราบข่าวนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ไปเดินช็อปปิ้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนหรือไม่ ซึ่งรองนายกฯ กล่าวว่าเพิ่งได้รับรายงานเมื่อสักครู่นี้
    "ขณะนี้ทั้งคู่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้ว" พล.อ.ประวิตร กล่าว 
    ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้สัมภาษณ์ว่า เราต้องกลับมาดูประเด็นจัดการปัญหากับผู้ที่หลบหนีคดี ซึ่งสมัยที่ตนเป็นรัฐบาลเรื่องนี้ยุ่งมาก เพราะนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศสมัยนั้นเอาจริง โดยพยายามสกัดกั้นและประสานงานไปยังประเทศต่างๆ ไม่ใช่ปล่อยให้ไปปรากฏตัวแล้วค่อยติดตาม ดังนั้นปฏิกิริยาสังคมในตอนนั้นจึงแรง  
    "เคยคิดหรือไม่ว่าทำไมเหตุการณ์ชุมนุมปี 53 ถึงชุมนุมใหญ่ทั้งที่ผมเป็นรัฐบาลตั้งแต่ปี 51 เพราะในปีนั้นมีการยึดทรัพย์นายทักษิณ 4 หมื่นกว่าล้าน จึงมีปฏิกิริยา การปรากฏตัวของทั้งสองคนที่ประเทศจีนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันมีจังหวะในการปล่อยภาพ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงเพิกถอนหนังสือเดินทางไม่ได้ เพราะระเบียบชัด ในเมื่อไม่มาปรากฏตัวต่อศาลรัฐก็ไม่มีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้เดินทางไปไหนอยู่แล้ว แต่กลับบอกไม่ได้ต้องรอให้มีคำพิพากษาศาลก่อนแล้วจึงเพิกถอนได้ จนกระทั่งมีภาพไปปรากฏถึงมาบอกว่าจะเพิกถอนหนังสือเดินทาง มันจึงทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ้ามีเงิน มีอำนาจ ทำอะไรก็ได้ใช่ไหม" นายอภิสิทธิ์กล่าว  
       มีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยว่า นายทักษิณกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังจากฉลองตรุษจีนร่วมกับครอบครัวแล้วจะเดินทางออกจากกรุงปักกิ่ง จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังเกาะฮ่องกง และพำนักระหว่างวันที่ 13-17 ก.พ. ซึ่งอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยเตรียมเดินทางไปพบอดีตนายกฯ ทั้ง 2 คนที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล
      นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อเจรจาขอให้เปลี่ยนผู้นำทัพในการเลือกตั้งครั้งหน้า จากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นคนอื่นว่า ข่าวดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริงอย่างยิ่ง เท่าที่ทราบและตรวจสอบพบว่าอดีตนายกฯ ทุกท่านมาปฏิบัติภารกิจส่วนตัว และยังมิได้มีการพบปะและนัดหมายกับผู้ใดทั้งสิ้น ขณะนี้ตามความเป็นจริง พรรคเพื่อไทยยังมีผู้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคตัวจริงตามกฎหมายและตามความเป็นจริงคือ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ สถานการณ์วันนี้พรรคยังไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะตัดสินใจเรื่องการหาตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ อีกทั้งกฎหมายก็ยังมิได้อนุญาตให้พรรคการเมืองมีกิจกรรมใดๆ ได้ ต่อเมื่อวันที่กฎหมายได้อนุญาตให้พวกเราประชุมได้ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมจัดประชุมและหารือกับคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคเพื่อเลือกตัวผู้นำคนใหม่ทันที 
    "ผมมีโอกาสได้รับทราบข่าวคราวจากท่านอดีตนายกฯ ของพรรคทุกท่าน ก็ได้รับข่าวการยืนยันอย่างหนักแน่นเสมอมาว่า อยากใช้ช่วงเวลาในปัจจุบันของท่านเพื่อพิจารณาการคิดช่วยเหลือประเทศชาติในวงกว้างๆ ต่อไป สำหรับเรื่องพรรคเพื่อไทยของเรานั้น ท่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่ายังเป็นกำลังใจให้พวกเรา ช่วยกันทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติที่ท่านทั้งสามยังคงรักและห่วงใยเสมอมา ขอให้พวกเรารักสามัคคีกันและทำงานกันเองอย่างเต็มที่ ท่านเชื่อมั่นในความเข้มแข็งและศักยภาพของพวกเราทุกคนว่า จะร่วมกันนำพาพรรคเดินหน้าต่อไปได้อย่างดี ตราบใดที่พวกเรายังรักและยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนที่กำลังยากลำบาก ประชาชนจะโอบอุ้มและไม่ทอดทิ้งพรรคเพื่อไทย" นายภูมิธรรมกล่าว 
     น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคนใกล้ชิดคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวถึงกระแสข่าวการเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคเพื่อไทยว่า ตอนนี้ผู้นำพรรคเพื่อไทยคือรักษาการหัวหน้าพรรค และรักษาการเลขาธิการพรรค กฎหมายยังไม่เปิดโอกาสให้เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่  ข่าวที่ออกมาจึงไม่สมเหตุผล ที่มีการตั้งข้อสังเกตเป็นการปล่อยข่าวเพื่อเลื่อยขาคุณหญิงสุดารัตน์นั้น  ตอนนี้พรรคการเมืองยังทำอะไรไม่ได้ต้องรอการดำเนินการตามกฎหมาย หากใครจะคิดเช่นนี้คงเป็นเรื่องส่วนตัว
    เมื่อถามถึงกระแสข่าวอดีต ส.ส.อีสานและเหนือไม่สนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์ น.อ.อนุดิษฐ์ตอบว่า  ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวที่ไม่มีผู้พูดจึงเป็นเรื่องลอยๆ จับต้นชนปลายไม่ได้ คุณหญิงสุดารัตน์เป็นผู้ใหญ่ของพรรคที่ได้รับการยอมรับจาก ส.ส.ในทุกภาค วันนี้พรรคเพื่อไทยมีผู้ใหญ่หลายท่านที่มีความรู้ความสามารถ มีความเหมาะสมเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ แต่คงไม่มีใครได้รับการยอมรับจากสมาชิกพรรค 100% เมื่อถึงเวลาที่กฎหมายเปิดให้มีการเลือกตัวหัวหน้าพรรค เสียงส่วนใหญ่ไว้ใจให้ใครทำหน้าที่ก็ต้องเป็นตามนั้น และไม่ว่าผู้ใหญ่คนไหนได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ คิดว่าคนในพรรคพร้อมให้การสนับสนุน ซึ่งคุณหญิงสุดารัตน์ก็เป็นหนึ่งในนั้น มองว่าข่าวที่ออกมาเมื่อไม่มีที่มาที่ไปคงไม่กระทบอะไรคุณหญิงสุดารัตน์
       รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า คนที่ปล่อยข่าวนี้ถือว่าเป็นการทำลายพรรค ไม่เข้าใจข้อกฎหมาย ใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 15 วรรคสาม ระบุเรื่องนี้เอาไว้ชัดว่า ให้พรรคออกข้อกำหนดต่างๆ และต้องเขียนห้ามไว้ด้วยว่า ไม่ให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง ที่ทำให้พรรคหรือสมาชิกขาดความเป็นอิสระ มาตรา 28 ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามให้พรรคยินยอมหรือกระทำให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้าควบคุม ครอบงำ ชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมือง ลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคขาดความเป็นอิสระ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม  มาตรา 29 ก็เป็นมาตรการที่ห้ามสมาชิกพรรคเข้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรค ซึ่งได้มีบทกำหนดโทษไว้ด้วยว่า หากใครที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคแล้วมาจุ้นจ้านกิจกรรมของพรรคการเมือง ต้องโทษคุก 5-10 ปี ปรับ 1 แสน หรือทั้งจำและปรับ รวมถึงต้องถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี และพรรคใดที่ทำผิดมีโทษถึงยุบพรรคการเมือง แล้วแกนนำพรรคหรืออดีต ส.ส.จะไม่รู้กฎหมายเดินทางไปหารือได้อย่างไร.  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"