วันนี้ "มาฆบูชา"
ตรงกับ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา พฤหัสบดี ที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑
สนทนาภาษาธรรมกันอีกสักวัน ก็ไม่มีอะไรที่จะไม่เหมาะสม
อ่าน fb พบ คุณ Pat Hemasuk โพสต์ไว้
มีประเด็นน่าคุย หยิบมาให้อ่านกันต่อ ดังนี้
"เรื่องเล่าทางศาสนานั้น บางเรื่องมีรายละเอียดที่ต่างกันออกไปตามนิกายและการตีความสั่งสอน
ผมจะยกเอาเรื่องที่ 'พระพุทธเจ้า' เสด็จไปกุสินาราเพื่อปรินิพพานมาเล่าเทียบกัน
ระหว่างเรื่องของ 'พุทธมหายาน' ของจีนและทิเบตกับ 'พุทธเถรวาท' ของไทย ที่เราคุ้นเคย
ผมเชื่อว่า คนไทยส่วนใหญคงคุ้นตากับการอ่านเวอร์ชั่นนี้ ของพุทธประวัติ เมื่อครั้งเสด็จถึงกุสินารา ก่อนปรินิพพาน
เสด็จถึงระหว่างทางแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำเล็กๆ มีน้ำไหล พระพุทธเจ้าแวะลงข้างทาง เข้าประทับใต้ร่มพฤกษาแห่งหนึ่ง
ตรัสบอกพระอานนท์ ให้พับผ้าสังฆาฏิเป็น ๔ ชั้น แล้วปูลาดถวาย ประทับนั่งเพื่อพักผ่อน
แล้วตรัสให้พระอานนท์ นำบาตรไปตักน้ำในแม่น้ำ
'เราจักดื่มระงับความกระหายให้สงบ' พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์
พระอานนท์กราบทูลว่า แม่น้ำตื้นเขิน เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มของพวกพ่อค้าเกวียนเพิ่งข้ามแม่น้ำผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ เท้าโคล้อเกวียน บดย่ำทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น
แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า 'อีกไม่ไกลแต่นี้ มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อกุกกุฏนที มีน้ำใส จืดสนิท เย็น มีท่าน้ำสำหรับลงเป็นที่รื่นรมย์ ขอเชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปที่แม่น้ำนั้นเถิด พระเจ้าข้า'
พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธคำทูลทัดทานของพระอานนท์ถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์จึงอุ้มบาตรเดินลงไปตักน้ำในแม่น้ำ
ครั้นเห็นน้ำ พระอานนท์ก็อัศจรรย์ใจนักหนา พลางรำพึงว่า
'ความที่พระตถาคตพุทธเจ้ามีฤทธิ์และอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก แม่น้ำนี้ขุ่นนัก เมื่อเราเข้าไปใกล้เพื่อจะตักน้ำ กลับใส ไม่ขุ่นมัว'
ครั้นแล้ว พระอานนท์ก็นำบาตรตักน้ำนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า
--------------------------
ลองอ่านเวอร์ชั่นมหายานดูบ้างครับ จะรู้สึกได้ถึงกระสวนความคิดและการสอนศาสนาพุทธในรูปแบบของเขา
พระพุทธองค์ทรงเดินทางไปกุสินารากับสาวกไม่กี่รูป และตรัสว่า
'ฉันกระหายน้ำมาก ไปตักน้ำมาให้ฉันดื่มเถิด'
สาวกที่ร่วมติดตามรูปหนึ่งได้เดินไปตักน้ำที่บึงและพบว่าเพิ่งมีกองเกวียนข้ามน้ำผ่านไป และน้ำในบึงก็ขุ่นไปด้วยโคลนตม จึงไม่ตักน้ำมาถวาย ได้กลับมากราบทูลไปถึงสาเหตุนั้น
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง พระพุทธเจ้าก็ได้บอกให้สาวกรูปนั้นกลับไปที่บึงอีกครั้ง เพื่อตักน้ำมาถวาย
แต่เมื่อกลับไปแล้ว น้ำก็ยังคงขุ่นอยู่ จึงได้กลับมาทูลอีกครั้งว่า ยังดื่มไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน พระพุทธเจ้าได้ทรงให้สาวกรูปนั้นเดินกลับไปที่บึงอีกครั้ง ก็พบว่าน้ำใสแล้ว จึงได้ตักมาถวาย
พระพุทธองค์ได้ทรงมองไปที่น้ำในบาตรและได้ตรัสว่า
'เห็นวิธีที่เธอจะได้น้ำที่ใสสะอาดไหม วิธีนั้นคือปล่อยให้น้ำมันเป็นไปตามนั้น อย่าไปยุ่งกับมัน แล้วโคลนตมก็จะนอนก้นลงเอง
จิตใจของเธอเองก็เป็นแบบนั้น อย่าไปรบกวนมัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันเป็น แล้วให้เวลากับจิตใจสักหน่อย มันจะสงบลงได้ด้วยตัวของมันเอง'
-------------------------------
*** คราวนี้ เรามาเทียบกันระหว่างสองเวอร์ชั่น สิ่งที่เราได้เรียนกันในสมัยเด็กจนแก่ในรูปแบบของเถรวาทคือ
'ด้วยพระอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ทำให้น้ำใส'
แล้วเราก็จบเรื่องเพียงเท่านี้ ยกประโยชน์ให้ในเรื่องจบลงด้วยปาฏิหาริย์ แบบไม่ได้อะไรจากเรื่องนี้
*** เรามาดูทางฝั่งมหายานกันบ้าง
เรื่องนี้ไร้ปาฏิหาริย์ ไร้พุทธานุภาพ แต่ทรงสอนให้สาวกได้เข้าใจถึงธรรมชาติ และเทียบกับจิตใจของคนที่ไม่ต่างกับน้ำ ยิ่งไปยุ่งกับมันก็ยิ่งขุ่น
แต่ถ้าปล่อยมันไว้ ทิ้งเวลาให้จิตใจบ้าง มันจะกลับไปสู่สภาพปกติของมันเอง
นั่นคือ จบเรื่องนี้ด้วยคำสอนถึงวิธีที่จะรับมือกับจิตใจของตัวเอง
บางครั้ง เมื่อผมอ่านพระสูตรหรือพระไตรปิฎกของมหายาน ผมก็เข้าใจครับว่า ที่ปราชญ์ราชบัณฑิตของไทยหลายๆ ท่านได้ออกมาพูดทำนองว่า
'ถ้าไม่มีนิกายมหายาน ศาสนาพุทธคงไม่อาจจะอยู่ได้ยืนยาวในโลกได้นานขนาดนี้'
และพุทธแบบเถรวาทของไทยและประเทศใกล้เคียง คือชนกลุ่มน้อยของผู้นับถือศาสนาพุทธทั้งโลก
อย่าไปทะนงตนว่า เถรวาทนั้น มีดีกว่าผู้อื่น
พุทธแบบมหายานนั้น ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วถึงสองพันกว่าปีว่าอยู่ได้ และอยู่แบบมั่นคงในแนวความคิดและคำสอนเสียด้วย"
ครับ..........
นี่คือที่คุณ Pat Hemasuk โพสต์ fb ไว้ ผมไม่มีความเห็นเป็นอื่น เพียงอยากเสริมว่า
พุทธเถรวาทของไทยนั้น เป็น "แขนงต่อมาจากลังกา" และแต่ละอรรถกถาจารย์ต่างรจนาต่างๆ กันไป
ต่างกับ "พุทธมหายาน" ในจีน.......
"พระถังซัมจั๋ง" ท่านเดินทางจากจีน ย่ำทะเลทราย บุกป่า-ฝ่าภูเขา ไปศึกษาเล่าเรียนที่วัดหรือมหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดียโดยตรง
คือ "ต่อกิ่ง-ทาบตา" มาจากต้นเลย!
๑๗ ปี ที่พระถังซัมจั๋งเรียนคัมภีร์พระธรรมและศาสตร์ต่างๆ ที่นาลันทา
เหตุที่นาน เพราะท่านต้องการศึกษาจาก "ต้น-ราก" จริงๆ ตามที่ "พระอานนท์" ถ่ายทอดธรรมจากโอษฐ์พระพุทธองค์ให้บันทึกไว้
นาลันทา มีหลายสำนัก-หลายคัมภีร์ ว่าด้วยศาสตร์ต่างๆ ให้เลือกเรียน เหมือนมหาวิทยาลัยมีหลายคณะ หลากวิชาให้เลือก
แต่ในแต่ละคัมภีร์ศาสตร์ รวมถึงพระไตรปิฎก บันทึกไว้ด้วยภาษาสันสกฤต
ท่านรู้แต่ภาษาจีน เพื่อการเข้าถึง จึงต้องเริ่มเรียนภาษาสันสกฤตก่อน
แตกฉานในภาษาดีแล้ว จึงเรียนชนิดแทงทะลุคัมภีร์ศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะ "พระไตรปิฎก" ที่เป็นภาษาสันสกฤต
ช่ำชองทั้งเนื้อธรรมทั้งภาษา สามารถถ่ายทอดพระไตรปิฎกจากต้นฉบับสันสกฤต เป็นภาษาจีนได้
ไม่เพียงเท่านั้น ถึงขั้นแต่ง "คัมภีร์ธรรม" ด้วยสันสกฤตไว้หลายเล่ม จนนาลันทายกย่องให้ท่านเป็น "พระตรีปิฎกาจารย์"
ตรีปิฎก=ซัมจั๋ง หมายถึงพระไตรปิฎก นั่นแหละ
และนาลันทา ด้วยนักศึกษาเป็นพัน-เป็นหมื่น เลือกให้ท่านเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย
ไปขึ้นเวที "โต้วาทีธรรม" ในการชุมนุมเจ้าลัทธิ-นิกายธรรมครั้งใหญ่ด้วยคนเป็นหมื่น-เป็นแสน
ท่านปราบเรียบ.........
ท่ามกลางเมธีธรรมนับหมื่น-นับแสนในเวที ทุกสำนักสยบยอมยกให้กับพระถังซัมจั๋งเป็นหนึ่ง!
จะว่าไปแล้ว พุทธเถรวาท ตั้งเป็นนิกายขึ้นมาเปียกๆ ตอนจากลังกาเข้ามาย่านสุวรรณภูมิ
ส่วนมหายาน นั้น มีกล่าวอยู่ก่อนแล้ว และเป็นพุทธนิกายมหายานอยู่ในจีนก่อนจะเกิดประเทศไทยด้วยซ้ำ
แต่คงเหมือนในบ้านเราตอนนี้........
คือมากสำนัก มากอาจารย์ พุทธเหมือนกัน แต่เพี้ยนพุทธไปคนละหน่อ-ละแนว
สำนักไหนจับหูช้าง ก็บอกว่า ตามคัมภีร์บอกช้างตัวแบนๆ สำนักไหนจับหาง ก็บอก ตามคัมภีร์บอกช้างตัวเล็กๆ ยาวๆ
พระถังซัมจั๋งเห็นไม่เข้าท่า......
ในสมัยราชวงศ์ถัง พ.ศ.๑๑๗๒ จึงเดินทางไปอินเดีย ณ วัดหรือมหาวิทยาลัยนาลันทา
ทั้งศึกษาคัมภีร์ศาสตร์ พระไตรปิฎก รวมทั้งจาริกไปตามสังเวชนียสถาน
รวมทั้งเวลาเดินทางไป-กลับ ทั้งหมด ๑๙ ปี
ตอนกลับ พระถังซัมจั๋งนำพระไตรปิฎกฉบับภาษาสันสกฤตมาด้วย
ถึงเมืองฉางอาน ในสมัยพระเจ้าถังไท่จง โปรดเกล้าฯ ให้แปลเป็นจีน แล้วยังทรงให้เขียน "บันทึกการเดินทางไปอินเดีย" ไว้ทั้งหมด เรียกว่า
"จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง"
คุยกันคร่าวๆ ที่สุดแค่นี้ ก็คงหมดสงสัย ที่ปราชญ์ราชบัณฑิตพูดว่า
"ถ้าไม่มีนิกายมหายาน ศาสนาพุทธคงไม่อาจจะอยู่ได้ยืนยาวในโลกได้นานขนาดนี้"
ก็มหายาน นั้น พระถังซัมจั๋ง ไปร่อนเอา "แก่นพุทธธรรม" มาจากต้นตอโดยตรง
คำสอนมหายานจึง "สั้น-ง่าย-กระชับ"
แต่ "ตรง-ลึก"
ส่วนพุทธเถรวาทในไทย เหมือนคนร้อยคนยืนเรียงแถว แล้วไปกระซิบใส่หูคนแรกว่า "แมวตาย"
จากนั้น ให้กระซิบคำว่า "แมวตาย" ใส่หูต่อๆ กันไป จากคนที่ ๑ จนถึง ๑๐๐
ลองไปถามคนที่ ๑๐๐ ดูซิว่า เขากระซิบว่าอะไร?
จะกลายเป็น "แม้แต้"........
ใกล้เคียงหน่อยอาจจะ "แม้วตาย"!
คือต่อๆ กันมา แล้วแต่ละอรรถกถาจารย์จะแต่งเติม เรียกว่ารจนาสำนวนใคร-สำนวนมัน
มหายานแต่สองพันปี เขาแทงตรงถึงแก่น
แต่เถรวาทในไทย แทงตรงกระพี้หรือแก่น ไม่ต้องดูไกล ในรัชกาลที่ ๔ ทอดพระเนตรวัตรปฏิบัติพระสงฆ์แล้ว
ต้องแยกเป็น "มหานิกาย-ธรรมยุต"!
แม้ถึงยุคนี้-วันนี้ก็เถอะ สงฆ์เถรวาทในบ้านเมืองเรา ก็ยังเน้นอภินิหาร ไปถึงขั้น
เจ้าอาวาส "เมีย ๗"!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |