"คิดใหม่ใน"วันเด็ก"กันดีมั้ย?


เพิ่มเพื่อน    

          วันนี้ "วันเด็ก"

          ทำความเข้าใจก่อน ไม่ใช่วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคมเป็น "วันเด็ก" นะ

            หากแต่มีกำหนดว่า........

            วันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคม "ในแต่ละปี" ให้ถือเป็น "วันเด็ก"

          "ผู้ใหญ่" อย่าทะลึ่งทึกทักเป็น "วันหยุดราชการ" แล้วหยุดงานชดเชยในวันจันทร์เชียวล่ะ

          วันเด็กมีมาตั้งแต่ครั้งไหนก็ขี้คร้านไปค้นรื้อ จำได้แต่ว่า ๗ ขวบเข้าเกณฑ์เรียน

            แม่จูงมือไปฝากครูใหญ่ให้นั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งในชั้นปฐม ก.กา ที่ศาลาวัด ก็มีวันเด็กแล้ว

            นับจากอายุผม ก็จะ ๑๐๐ ปี

            หลักการ-แนวคิด ที่ "ผู้ใหญ่" วางรูปแบบใน "วันเด็ก" เกือบร้อยปีที่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้ ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น

            คาดว่า ผ่านไปอีก ๒๐ ปี

            ยุทธศาสตร์ ๔.๐ ของนายกฯ "ประยุทธ์" ครบ ๒ ทศวรรษแล้ว

            รูปแบบ "วันเด็ก" ในปี พ.ศ.๒๕๘๑ ก็คงไม่ต่างจากวันนี้แน่!?

            ทำให้ต้องคิดว่า............

            ในระยะเวลาอีก ๒๐ ปี ต่อจากนี้ จะมีนายกรัฐมนตรีซักคนมั้ย ที่เกิด "ปัญญานิมิต" ปฏิวัติรูปแบบการจัดงานวันเด็กใหม่ สมกับยุคนวัตกรรม?

            นอกเหนือ "คำขวัญ" รายปี ที่ไม่รู้จะจำไปทำไม?

            อย่างปีนี้ นายกฯ ยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี ออกคำขวัญอะไรมา ผมมันเฒ่าแล้ว ก็เลยไม่อยาก "แข่งจำ" กับเด็ก

            แต่ที่ไม่รู้ ก็ต้องเห็น คือ "กิจกรรมวันเด็ก" ซ้ำซาก

            จัดนิทรรศการให้เด็กดู-เด็กเที่ยว-เด็กนั่งเก้าอี้นายกฯ-เด็กดูรถถัง-เรือบิน-เรือรบ-พาเด็กกินไอติม

            ต่างจังหวัด ลึกเข้าไปในป่า-ในดง ไม่มีของอย่างนั้นให้เด็กดู ก็จัดให้เด็กเล่นเกม เล่นแข่งขัน ตี่จับ-วิ่งเปี้ยว-ปิดตาต่อหางสัตว์ไปตามเรื่องตามราว

            นี่จำลองนึกจาก "เด็กบ้านนอก" สมัยผม

            แต่สมัยนี้ มันสมัยไอที มีอินเทอร์เน็ตชายขอบ

            รูปแบบกิจกรรมวันเด็ก ตามบ้านนอก-บ้านนา คงพัฒนารูปแบบเป็นแต่งหน้า ทาก้นขาวกันไปตามเรื่อง-ตามราวแล้วกระมัง?

            ที่พูดนี่ ไม่ได้แอนตี้งานวันเด็ก หรือว่ากิจกรรมที่จัดให้เด็กไม่ดี

            ผมพูดในความหมายว่า โลกหมุนทุกวัน

            เด็กเปลี่ยนทุกวัย

            ในขณะที่สังคมโลกวิวัฒน์ไป วัยของเด็ก "แต่ละวัน" ก็พัฒนาตามไป

            และเด็กที่เกิดเข้าสู่ระบบวันเด็กใหม่ ก็หมุนตามรอยตีนโลกและสังคมที่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่

            แล้วทำไมรูปแบบ "กิจกรรมวันเด็ก" จึงตายตัวอยู่กับที่?

            รูปแบบงานทุกวันนี้ ตรึงติดอยู่ในกรอบคิดผู้ใหญ่ "หลอมเด็กให้เป็นเด็ก"

            "ดูตาม-พูดตาม-คิดตาม-ทำตาม" ในสิ่งที่ผู้ใหญ่เข้าใจเอาเองว่า "เด็กต้องการ-เด็กอยากดู-อยากเห็น-อยากรู้" อย่างนี้

            จึงกำหนดรูปแบบ "วันเด็ก" ในหลักการ............

            ผู้ใหญ่จัดหามาให้ "เด็กดู-เด็กเล่น-เด็กสนุก"!

            ไหนๆ จะพัฒนาสังคมประเทศไปสู่ยุค ๔.๐ หลุด "กับดักความจน" พ้น "ความเหลื่อมล้ำ" สู่ความมั่งคั่ง-ยั่งยืนกันแล้ว

            ปีหน้า ถ้าผู้นำประเทศยังชื่อประยุทธ์และรัฐมนตรีศึกษาฯ ยัง "ธีระเกียรติ"

            เปลี่ยนมิติ สร้างแนวคิดใหม่ให้เด็กดีมั้ย?

            คือวันเด็ก แทนที่ผู้ใหญ่จะมองเด็กวันนี้ "ก็แค่เด็ก" แล้วจัดนิทรรศการให้เด็กดูเปลืองเปล่าไปปีๆ

            เปลี่ยนเป็น ผู้ใหญ่มองเด็กวันนี้ คือ "กำลังหลักของชาติวันหน้า" แล้วให้เด็กแสดงศักยภาพ

            ด้วยการให้เด็กๆ "จัดนิทรรศการให้ผู้ใหญ่ดู"

            ผมว่า แบบนี้..........

            เด็กๆ จะเกิดความรู้สึก ตื่นเต้น สนุกสนาน ได้ดู-ได้เล่น-ได้ทำ-ได้แข่งขัน จากนวัตกรรมคิดของเด็กๆ ด้วยกันเอง

            ซึ่งนั่น จะสอนให้เด็กรู้จัก "คิดเอง-พูดเอง-ทำเอง-มีความรับผิดชอบด้วยตัวเอง" ในทางสร้างสรรค์ขันแข่ง

            เท่ากับสร้างตัวทะยานรู้-ทะยานเรียนในสาขาวิทยาการต่อยอดตรงต้องการสังคมชาติ

            และที่สำคัญ เด็กได้แสดงออก เป็นประกายให้ได้สังเกต เด็กกลุ่มนี้-คนนี้ มีความชอบ-มีความถนัดจัดเจนด้านไหน?

            เป็นการเจียระไน ช่วยให้จัด "ระบบศึกษา" เกิดประสิทธิภาพ

            ถ้าเปลี่ยนรูปแบบงานวันเด็กไปในแนวนี้ได้ ผมว่า..........

            "ช็อกโลก" พอสมควรทีเดียว!

            เด็กอนุบาล-เด็กประถม-เด็กมัธยม ครูบาอาจารย์ ก็ให้แต่ละส่วนเขาปรึกษาหารือ กำหนดหัวข้อกิจกรรม ที่พวกเขาจะร่วมกันสร้างสรรค์

            แล้ววันเด็ก แทนที่ผู้ปกครองจะจูงมือเด็กไปเที่ยวงานวันเด็ก

            จะเปลี่ยนเป็น เด็ก คือลูกหลาน จูงมือพ่อ-แม่ คือผู้ปกครอง มาเที่ยวดูนิทรรศการที่พวกเขา คือพวกเด็กๆ สร้างสรรค์ขึ้นทันที

            ไม่ต้องมาก อยู่ท้องถิ่นไหน ให้เด็กใช้ "สิ่งมี-สิ่งเป็น" ในท้องถิ่นนั้นเป็นฐาน แล้วใช้ปัญญาสร้างสรรค์ออกมา

            น่าจะได้เห็น "นวัตกรรม" จากคิดเด็ก ที่ผู้ใหญ่ต้องตื่นตะลึงกันไปเลยก็ได้!      

            แทนที่จะไปปีน-ไปดู รถถัง-เรือบิน-เรือรบ ปีแล้ว-ปีเล่า นอกจากรูปถ่าย นอกนั้นก็ไม่ได้อะไร

            ก็จะได้เห็นไอเดียเด็กๆ ประดิษฐ์รถถัง-เรือบิน-เรือรบ จากวัสดุท้องถิ่นออกมาให้ดู

            ถึงขั้นอเมริกัน-จีน-รัสเซีย อาจต้องขอเป็น "ต้นแบบ" ในอนาคตบ้างก็ได้

            เนี่ย....เปลี่ยนวันเด็ก "เพื่อเด็กวันนี้" เป็นวันเด็ก "เพื่อผู้ใหญ่วันหน้า" กันบ้าง

            น่าจะมีสีสัน ตื่นตา-เร้าใจ ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ใจจดจ่อรอถึงวันนั้น

            มากกว่า "วันเด็ก...ผู้ใหญ่จูงเด็กไปดูหมีที่นาตาหมอหลอ" ซ้ำซากเป็นร้อยเท่า!

            สรุป คือ...........

            "วันเด็ก" ควรเป็นวัน "เด็กเอาดีโชว์ผู้ใหญ่"

            ไม่ใช่............

            "วันเด็ก" ผู้ใหญ่เอาดีบ้าง-ไม่ดีบ้างโชว์เด็ก

            เรื่องการศึกษาของชาติ "ไม่ใช่เรื่องใหญ่" การสร้างเบ้าคิดของผู้ใหญ่ต่อเด็ก

            นั่นแหละ "เรื่องใหญ่"

            มุ่งให้เรียนตำรา รับประกัน ๑๐๐% เด็กต้อง "รู้" แน่

            แต่ถ้ามุ่งให้เรียนโลก รับประกัน ๑๐๐% อีกเหมือนกันว่า ต้อง "เป็น" แน่

            ทุกอย่าง ถ้า "เป็น" ในสิ่งนั้น แล้ว "รู้" จะตามมาเอง

            แต่ถ้า "รู้" ไม่แน่ว่า ในสิ่งนั้น จะ "เป็น" หรือ "ไม่เป็น"?

            เหมือนรู้ว่า นานั้น ต้องไถ-หว่าน แต่ไม่ทำ ไม่ฝึก-ไม่ฝน รู้ขนาดไหน นานั้น ก็ว่างเปล่า

            แต่ถ้าลงมือทำเรื่อยๆ ถึงไม่รู้ ความ "เป็น" นั้น จะพัฒนาสู่ขั้น "องค์ความรู้"

            จากฝึกฝน เป็นประสบการณ์ จากเข้าใจ เป็นชำนิ-ชำนาญ

            และจาก "ชำนิ-ชำนาญ" เกิดเป็น "ตำรา-หลักสูตร" ให้คนเรียน

            แต่ก็เรียนเพื่อรู้ ถ้าไม่ลงมือทำให้เป็น รู้ถึงขั้นศาสตราจารย์-ดอกเตอร์

            ก็ "ไม่เป็น" อยู่ดี!

            ฉะนั้น การให้ "การศึกษา" เด็ก ไม่ควรกำหนดหลักสูตร "สนองตอบตำรา" ซึ่งจบลงที่คำว่า "สำเร็จการศึกษา"

            การศึกษาน่ะ เกิดแล้วตาย-ตายแล้วเกิด ๗ รอบ ก็ยังไม่มีใครสำเร็จ เพราะยุค-สมัย มันมีอะไรให้ต้องไล่ตามตลอด

            ฉะนั้น มันผิดตั้งแต่ "คำแรก-คิดแรก" แล้ว

            เมื่อผิด ยุทธศาสตร์การศึกษาของเด็ก ผู้ใหญ่จึงวางผิดมาตั้งแต่แรกๆ ด้วย

            จบปริญญา แค่เครื่องไถนาเสีย ยังซ่อมไม่ได้ แล้วที่เรียนมา เพื่อสนองตอบอะไร?

            ถ้าใครคิดจะแก้เรื่องการศึกษาให้ตอบโจทย์ประเทศละก็ ผมมีข้อเสนอหนึ่ง คือ

            ขั้นแรก......

            ทุกกฎ-ทุกระเบียบ กระทั่งในรัฐธรรมนูญ เรื่องคุณสมบัติผู้สมัครเป็นนั่น-เป็นนี่

            เลิกบ้าปริญญากันที ที่เอะอะขั้นต่ำต้อง "ปริญญาตรี"

            เอาแค่ "จบอาชีวศึกษา" ประเทศก็เจริญแล้ว!

            ประเทศจะรอด-ไม่รอด ที่พลัง "อาชีวศึกษา" ไม่ได้อยู่ที่พวกจบปริญญาตรี

            ฉะนั้น รัฐต้องส่งเสริม ทุ่มทุกด้าน เพื่อสร้าง-พัฒนา-ผลิตทรัพยากรบุคคลด้าน "อาชีวศึกษา"

            ให้มากกว่า "ปั๊มปริญญา" ให้คนออกมาเป็นมนุษย์ "พันธุ์หยิบโหย่ง" อย่างทุกวันนี้

            ปัญหาการศึกษาเป็น "วงกลม" เริ่มตรงจุดไหน ถือเป็นจุดเริ่มได้ทั้งนั้น

            ฉะนั้น เอามันตรง "เปลี่ยนรูปแบบ" วันเด็กนี่แหละ.         


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"