อดีตนายกเทศมนตรีไทเปถูกจับกุมในคดีทุจริต

อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันถูกจับกุมเมื่อวันเสาร์ หลังจากถูกสอบปากคำเกี่ยวกับข้อกล่าวหาในคดีอื้อฉาวด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นขณะดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีไทเป

เคอ เหวินเจ๋อ อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน และหัวหน้าพรรคประชาชนไต้หวัน (Photo by Yasuyoshi CHIBA / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม 2567 กล่าวว่า เคอ เหวินเจ๋อ อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันถูกตำรวจจับกุม หลังถูกสอบปากคำเกี่ยวคดึอื้อฉาวด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นขณะดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงไทเป

อดีตศัลยแพทย์ที่ผันตัวมาเป็นนักการเมืองและหัวหน้าพรรคประชาชนไต้หวัน (TPP) ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะพรรคลำดับสาม โดยได้รับคะแนนเสียงประมาณหนึ่งในสี่จากการเลือกตั้งเดือนมกราคม

แต่เมื่อไม่นานมานี้ เขากลับพัวพันคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเกิดขึ้นขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีไทเประหว่างปี 2014-2022

เคอ เหวินเจ๋อถูกนำตัวไปสอบปากคำในวันศุกร์ หลังจากเจ้าหน้าที่สอบสวนบุกค้นบ้านของเขา

พรรคประชาชนไต้หวันระบุในแถลงการณ์ว่า การสอบสวนใช้เวลา 19 ชั่วโมง และเสริมว่า "เพื่อที่จะจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของประธานเคอต่อไป อัยการจึงสั่งให้จับกุมเขาในเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันเสาร์"

"ทนายความของเขาร้องขอให้ทบทวนความถูกต้องทางกฎหมายในการจับกุมเคอ แต่คำร้องถูกปฏิเสธโดยศาลแขวงไทเป"

"เราเคารพคำตัดสินของศาลฯและสนับสนุนสิทธิของประธานเคอในการแสวงหาความช่วยเหลือตามกฎหมาย" พรรคประชาชนฯระบุในแถลงการณ์ฉบับที่สอง

เคอปฏิเสธการกระทำผิดทั้งหมด แต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เขาได้ประกาศพักบทบาทผู้นำพรรคฯเป็นเวลาสามเดือน

ในการเลือกตั้งเดือนมกราคม พรรคประชาชนได้รับที่นั่ง 8 ที่นั่งในรัฐสภาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของไต้หวัน โดยทั้งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ที่ครองอำนาจอยู่ และพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งเป็นกลุ่มฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ต่างก็ไม่ได้รับที่นั่งเพียงพอที่จะทำให้ได้เสียงข้างมากอย่างชัดเจน

เมื่อต้นปีนี้ พรรคประชาชนไต้หวัน และพรรคพรรคก๊กมินตั๋ง ได้ผ่านกฏหมายปฏิรูปที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งมุ่งหวังที่จะขยายอำนาจของรัฐสภา โดยฝั่งสนับสนุนให้เหตุผลว่าการปฏิรูปมีความจำเป็นเพื่อปราบปรามการทุจริต แต่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าคัดค้านหัวชนฝา ทำให้ขณะนี้กฏหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไต้หวันเพื่อชี้ขาด.