ทรัมป์แบนเพิ่มอีก 7 ประเทศ รวมชาวปาเลสไตน์ ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ

โดนัลด์ ทรัมป์ได้ขยายมาตรการห้ามเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มงวดเพิ่มอีก 7 ประเทศ รวมถึงซีเรียและผู้ถือหนังสือเดินทางขององค์การปกครองปาเลสไตน์

(แฟ้มภาพ) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เมื่อครั้งลงนามคำสั่งบริหารในห้องทำงานรูปไข่ ณ ทำเนียบขาว (Photo by Andrew Harnik / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ขยายมาตรการห้ามเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มงวด ต่อพลเมืองอีก 7 ประเทศ รวมถึงซีเรียและผู้ถือหนังสือเดินทางขององค์การปกครองปาเลสไตน์

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ทำให้จำนวนประเทศที่พลเมืองเผชิญข้อจำกัดในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาเพียงเพราะสัญชาติเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 40 ประเทศ โดยทรัมป์ยังได้เข้มงวดกฎระเบียบสำหรับการเดินทางตามปกติจากประเทศตะวันตกอีกด้วย

ขณะที่ทรัมป์ซึ่งมีนโยบายต่อต้านผู้อพยพมาโดยตลอด ได้สั่งเนรเทศผู้คนจำนวนมากและใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อชาวอเมริกันใหม่ที่ไม่ใช่คนผิวขาว

ทำเนียบขาวออกประกาศว่า นโยบายของพวกเขาเป็นไปเพื่อปิดประตูใส่ชาวต่างชาติที่มีเจตนาจะคุกคามชาวอเมริกัน

"ประธานาธิบดียังต้องการป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติในสหรัฐอเมริกามีบทบาทในการบ่อนทำลายหรือทำให้วัฒนธรรม, รัฐบาล, สถาบัน หรือหลักการพื้นฐานของประเทศไม่มั่นคง" คำประกาศดังกล่าวระบุ

ชาวซีเรียถูกห้ามเข้าประเทศไม่กี่วันหลังจากทหารสหรัฐฯ 2 นายและพลเรือน 1 รายเสียชีวิตในประเทศที่กำลังประสบกับสงคราม ซึ่งทรัมป์ได้ดำเนินการฟื้นฟูสถานะในระดับนานาชาติมาตั้งแต่การล่มสลายของบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำเผด็จการ

ทางการซีเรียระบุว่าผู้ก่อเหตุดังกล่าวเป็นสมาชิกของกองกำลังรักษาความปลอดภัยที่กำลังจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องจากมีแนวคิดแบบอิสลามหัวรุนแรง

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังได้สั่งแบนอย่างไม่เป็นทางการสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางขององค์การบริหารปาเลสไตน์อีกด้วย เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับอิสราเอลในการต่อต้านการรับรองรัฐปาเลสไตน์ที่นำโดยประเทศตะวันตกอื่นๆ รวมถึงฝรั่งเศสและอังกฤษ

ประเทศอื่นๆ ที่ถูกสั่งห้ามการเดินทางอย่างเต็มรูปแบบเพิ่มเติม ได้แก่ ประเทศที่ยากจนที่สุดในแอฟริกา เช่น บูร์กินาฟาโซ, มาลี, ไนเจอร์, เซียร์ราลีโอเน และซูดานใต้ รวมถึงลาวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในการดำเนินการชุดใหม่ ทรัมป์ยังได้กำหนดข้อจำกัดการเดินทางบางส่วนสำหรับพลเมืองของประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา รวมถึงไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุด, ไอวอรี่โคสต์และเซเนกัลซึ่งผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกที่จะจัดขึ้นในปีหน้าในสหรัฐอเมริกา ตลอดจนแคนาดาและเม็กซิโก

รัฐบาลทรัมป์สัญญาว่าจะอนุญาตให้นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลได้ แต่ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาใดๆ สำหรับแฟนฟุตบอลจากประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำ

ประเทศอื่นๆ ที่ถูกจำกัดการเดินทางบางส่วน ได้แก่ ประเทศในแอฟริกาหรือประเทศที่มีประชากรผิวดำเป็นส่วนใหญ่ในแถบแคริบเบียน ได้แก่ แองโกลา, แอนติกาและบาร์บูดา, เบนิน, โดมินิกา, กาบอง, แกมเบีย, มาลาวี, มอริเตเนีย, แทนซาเนีย, แซมเบีย และซิมบับเว รวมถึงประเทศตองกา

ทั้งนี้ แองโกลา, เซเนกัล และแซมเบีย ต่างเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในแอฟริกา โดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยยกย่องทั้งสามประเทศนี้ในเรื่องความมุ่งมั่นต่อประชาธิปไตย

กลุ่ม Global Refuge ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนผู้ลี้ภัยและมีพื้นฐานมาจากศาสนาคริสต์ เตือนว่าการห้ามเดินทางจะผลักดันให้ผู้คนกลุ่มเปราะบางตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น

"รัฐบาลกำลังใช้ภาษาด้านความมั่นคงอีกครั้งเพื่อเป็นข้ออ้างในการกีดกันแบบเหมารวมที่ลงโทษประชากรทั้งหมด แทนที่จะใช้การคัดกรองเป็นรายบุคคลโดยอิงจากหลักฐาน" คริช โอ'มารา วิกนาราจาห์ ประธานและซีอีโอของกลุ่มกล่าว

ระยะหลังทรัมป์ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยบ่นในการปราศรัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯ รับแต่คนจากประเทศที่ไร้ค่า และควรรับผู้อพยพจากนอร์เวย์และสวีเดนมากกว่า

เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังเรียกชาวโซมาเลียว่า "ขยะ" หลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวที่ชาวอเมริกันเชื้อสายโซมาเลียฉ้อโกงรัฐบาลด้วยสัญญาปลอมในมินนิโซตา

ทรัมป์ได้สั่งห้ามชาวโซมาเลียเข้าประเทศไปแล้ว ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ยังคงถูกห้ามเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ อัฟกานิสถาน, ชาด, สาธารณรัฐคองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, อิหร่าน, ลิเบีย, เมียนมา, ซูดาน และเยเมน

เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ได้ขยายการห้ามเข้าประเทศให้ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับชาวอัฟกานิสถาน โดยยกเลิกโครงการที่นำชาวอัฟกานิสถานเข้ามาร่วมรบกับสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านกลุ่มตอลิบัน หลังจากทหารผ่านศึกชาวอัฟกานิสถานคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะมีภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ ได้ยิงทหารรักษาการณ์แห่งชาติ 2 นายที่ทรัมป์ส่งไปประจำการในวอชิงตัน

ทำเนียบขาวยังพิจารณาถึงความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายในตอนแรก คือ เติร์กเมนิสถาน

โดยพลเมืองของประเทศในเอเชียกลางแห่งนี้จะสามารถขอวีซ่าสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง แต่เฉพาะในฐานะอื่นที่ไม่ใช่ผู้อพยพ

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ยุติการรับผู้ลี้ภัยเกือบทั้งหมด โดยสหรัฐฯ รับเฉพาะชาวแอฟริกาใต้จากชนกลุ่มน้อยผิวขาวเชื้อสายแอฟริกันเนอร์เท่านั้น.

เพิ่มเพื่อน