
เรื่อง เขากระโดง ทางออกของเรื่องนี้มีทางเดียว คือการรถไฟฯต้องตัดสินใจยื่นฟ้องราษฎร 995 ราย ซึ่งทั้ง 995 รายจะสู้ประเด็นเดียวกัน เพราะเราเป็นทนายให้ทั้ง 995 ราย การรถไฟฯ ไปยื่นฟ้องรายใดรายหนึ่งก็ได้ โดยเฉพาะรายไหนที่คิดว่าฟ้องแล้วจะดังเป็นพลุ ก็ยื่นฟ้องมา แล้วไปสู้คดี ถ้าศาลยุติธรรมบอกว่าเป็นที่ของการรถไฟ มันก็จะจบเลย ทั้งหมดจะไม่มีการต่อสู้กับรฟท.อีก ที่ก็จะทำให้รายอื่นๆ อาจคิดว่าไม่รู้จะสู้อย่างไรแล้ว เพราะก็ต่อสู้คดีในแนวเดียวกัน รายอื่นๆ อาจจะยอมเลย แต่ยืนยันว่าหากมีการฟ้องมา ข้อมูลและข้อต่อสู้ที่เรามี เรามีเป็นคันรถเลย และไม่ใช่รถสองแถว แต่เป็นสิบล้อเลยสำหรับข้อต่อสู้
ปมเรื่อง”เขากระโดง-บุรีรัมย์”คืออีกหนึ่งประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามองกันมากว่าในยุครัฐบาลปัจจุบัน ที่มี”อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ซึ่งมี กรมที่ดิน เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย”รวมถึง”พิพัฒน์ รัชกิจประการ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย”และ”พลตำรวจตรี รุทธพล เนาวรัตน์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในโควต้าพรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้การรถไฟฯ มาแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าครอบครองที่ดินเขากระโดงโดยมิชอบมีการบุกรุก ”
เรื่องเขากระโดง จะมีข้อยุติอย่างไร และจะมีการหาทางออกที่ค้านสายตา-ความเห็นประชาชนหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องดูกันว่า ปมเขากระโดงในยุครัฐบาลภูมิใจไทย จะมีความคืบหน้าอย่างไร
“ไทยโพสต์”สัมภาษณ์พิเศษ”ชนินทร์ แก่นหิรัญ ในฐานะทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง-ทนายความของครอบครัว ‘ชิดชอบ’” ซึ่งปัจจุบันมีไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลูกชายนายเนวิน เป็นรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อพูดคุยถึงเรื่องข้อกฎหมายกรณีเขากระโดง และการหาข้อยุติปมพิพาทดังกล่าวที่ยืดเยื้อมาหลายปี
“ชนินทร์ -ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง”ปูพื้นปมเรื่องเขากระโดงว่า กรณีเขากระโดง เป็นประเด็นที่มีข้อโต้แย้งกันมากว่าห้าสิบปี ประเด็นสำคัญของเรื่องเขากระโดงอยู่ตรงที่ เมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อปี 2560 เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง ซึ่งสำหรับสังคมไทย เป็นที่รู้กันว่าเมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ คือถือเป็นที่สิ้นสุด จุดนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ก็เกิดประเด็นว่าผลคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีหรือมีผลผูกพันไปถึงบุคคลภายนอกด้วยที่เขาไม่ได้มาสู้คดี นี้คือประเด็นแรกที่เกิดปัญหาเพราะเรื่องเขากระโดงเป็นความเชื่อ คือมีความเชื่อกันมานานแล้วและไม่มีใครพิสูจน์ทราบเรื่องนี้กันมาก่อน จนกระทั่งนายตฤณ แก่นหิรัญ หนึ่งในทีมทนายความเรื่องเขากระโดง (บุตรชายนายชนินทร์) ไปพิจารณาเรื่องแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ก็พบข้อเท็จจริงว่า "คำพิพากษาของศาลฎีกามันมีสิ่งหนึ่งที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง” ก็คือเอกสารที่ทางศาลฎีกาฯ นำมาพิจารณาคดีมันมีข้อบกพร่อง เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าเอกสารชิ้นดังกล่าวฝ่ายใดเป็นผู้ทำ เพราะเขาอ้างว่าเป็นเอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ ซึ่งคดีดังกล่าว เราก็ไม่อยากไปก้าวล่วงเพราะศาลฎีกาฯตัดสินไปแล้ว แต่สิ่งที่ตามมาทีหลังต่างหากคือเรื่องสำคัญ
...เพราะคำพิพากษาของศาลฎีกาฯที่เรามองว่าท่านผิดหลงไปแล้ว จากเอกสารดังกล่าว มันก่อให้เกิดข้อถกเถียงของสังคมว่าคดีดังกล่าวที่เป็นคดีซึ่งราษฎรที่ไม่มีเอกสารสิทธิไปยื่นฟ้องจังหวัดบุรีรัมย์ นี้คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เพื่อให้ศาลพิพากษาว่าเขาสามารถยื่นขอโฉนดที่ดินได้ เพราะเขาเคยไปยื่นแล้วแต่การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)มาคัดค้านเขา โดยรฟท.อ้างว่าเป็นที่ดินของการรถไฟฯ เขาก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่า ราษฎรอีก 995 รายที่เขามีเอกสารสิทธิได้เอกสารสิทธิมาได้อย่างไร กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิมาให้ราษฎรได้อย่างไร และพวกเขาก็อยู่ตรงนั้นมานาน แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่มีสิทธิในที่ดิน นี้คือเหตุผลของการฟ้องร้องในคดีดังกล่าว แต่ราษฎรเขาเสียเปรียบในการเข้าถึงเอกสารทางราชการ เสียเปรียบในการว่าจ้างทนายความที่มีคุณภาพ ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญมากพอ ทำให้สู้คดีกับหน่วยงานภาครัฐยากมาก เพราะหลักของรัฐคือทรัพย์สินของรัฐ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นแนวธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือต่อๆกันมาโดยศาลยุติธรรมก็เห็นเช่นนั้น
..ผลออกมาคือราษฎรสู้เอกสารหลักฐานที่การรถไฟฯนำเสนอต่อศาลไม่ได้ ผลตามมาก็คือ ศาลชั้นต้น-ศาลอุทธรณ์จนถึงศาลฎีกาฯ ก็ตัดสินทำนองเดียวกันว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ แต่ ณ วันนั้น คำพิพากษาต่างหากที่ก่อปัญหา เพราะในคำวินิจฉัยไปเท้าความในรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณเขากระโดงทั้งหมดว่าที่ดิน 5,083 ไร่อยู่ในที่ดินการรถไฟฯ ทำให้เมื่อโจทย์ผู้ยื่นฟ้องอยู่ในบริเวณดังกล่าว โจทย์จึงไม่มีสิทธิเพราะเป็นที่ดินการรถไฟฯ โดยที่ราษฎรอีก 995 รายที่อยู่ในพื้นที่เขากระโดงไม่ได้ไปร่วมสู้คดีด้วย คำพิพากษาของศาลจึงมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความคือราษฎร 35 ราย
.. เมื่อการรถไฟฯได้รับคำพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ คน 35 รายก็ต้องออกจากที่ดินดังกล่าวเพราะบุกรุกที่ดินการรถไฟฯ รวมถึงคนที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล แม้ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ก็คือบริวารของราษฎร 35 ราย ในที่ดิน 170 กว่าไร่มีบุคคลภายนอกด้วยแต่เป็นบริวารของ 35 ราย ก็ถือว่ามีผลผูกพันด้วย ส่วนนอกเหนือจากนั้นที่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ได้รับผลกระทบหรือไม่ ก็ได้รับ โดยมาตรา 145 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คือเมื่อมีการฟ้องร้องคดีกันแล้วการรถไฟฯ ได้รับการวินิจฉัยว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ ทางการรถไฟฯก็สามารถนำคำพิพากษาไปใช้ยัน แต่เป็นเรื่องการอาจนำไปใช้ยัน แต่ไม่ใช้ให้นำไปบังคับ
ที่ก็คือการรถไฟฯต้องไปยื่นฟ้องราษฎร 995 ราย ใช้คำพิพากษาศาลฎีกาฯไปยันว่า อย่ามาต่อสู้คดีกับการรถไฟฯ มีคำพากษาศาลฎีกาฯแล้ว เรียกว่าแนวฎีกาฯ เมื่อคดีไปที่ศาล เริ่มที่ศาลชั้นต้นก็จะดูว่า ศาลฎีกาฯวินิจฉัยไว้แบบนี้ ก็จะสอบถามจำเลยที่อาจเป็นหนึ่งในราษฎร 995 รายว่ามีประเด็นอะไรจะยกมาต่อสู้คดีหรือไม่ ทางคู่ความก็จะบอกกับศาลเช่น มีเอกสารสิทธิ มีโฉนดที่ดิน ซึ่งกฎหมายรองรับทั้งรัฐธรรมนูญ-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ใครถือโฉนดที่ดิน ก็จะได้รับการรับรองสิทธิ รวมถึงการยกประเด็นว่า
1.คดีก่อนหน้านี้ กับราษฎร 35 ราย เอกสารที่ใช้ในคดีดังกล่าวจะเรียกว่าเท็จหรือเอกสารปลอม ขอให้ศาลช่วยพิจารณาด้วย
2.ประเด็นว่า การรถไฟฯ มีกฎหมายเฉพาะเรียกว่า พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บอกถึงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ของที่ดินการรถไฟฯ ที่ก็คือการแสดงให้เห็นว่าไม่ว่ารัฐต้องการที่ดินแห่งใดนำไปใช้ประโยชน์ รัฐจะต้องบอกว่าจะนำไปทำอะไร เช่นหากเรามีที่ดินอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งแล้วรัฐต้องการทำทางผ่านบริเวณที่ดินดังกล่าว รัฐต้องออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนฯ แล้วชดเชยค่าเสียหายให้ตามกฎหมาย
ซึ่งจากการตรวจสอบเพื่อดูว่าการรถไฟฯ จะได้ไปซึ่งกรรมสิทธิต้องอาศัยกฎหมายใด ซึ่งพรบ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวงฯ กำหนดไว้ว่าประเทศไทย ที่ดินซึ่งรถไฟวิ่งผ่าน การรถไฟฯจะได้ไปซึ่งที่ดินต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยเรื่องแรกเลยคือออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขต พอออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งสมัยนั้นคือรัชกาลที่ 6 ที่เมื่อได้แนวเขตรถไฟฯแล้วเพื่อไม่ให้ก่อปัญหาอุปสรรค ใครที่มีที่ดินบริเวณนั้นแล้วมีสิทธิอยู่ห้ามซื้อขาย ซึ่งสมัยนั้นประเทศไทยมีโฉนดแล้วตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ส่วนใครที่ยังไม่มีโฉนดแล้วจะเข้ามา ก็ห้ามเข้ามาในพื้นที่ซึ่งมีการกำหนดเขตทางรถไฟฯโดยกำหนดระยะเวลาไว้สองปี โดยที่กำหนดไว้สองปีเพราะเป็นอำนาจในการจำกัดสิทธิราษฎร ก็ปรากฏว่าก็มีการดำเนินการไป โดยพอได้ที่ดินที่ชัดเจนแน่นอนแล้วก็ให้มีการจัดซื้อ ทำให้ต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อ และให้มีการทำเอกสารแนบท้ายโดยมีการระบุถึงจำนวนบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิในเอกสารสิทธิของตัวเองแล้วถูกการรถไฟฯ พาดผ่านก็ต้องจ่ายค่าทำขวัญหรือ"ค่าเวนคืน" โดยมีการเรียงลำดับรายชื่อบุคคลตั้งแต่ 1 2 3 4 ไปเรื่อยๆ จนถึงเส้นแนวถึงอุบลราชธานี เพราะเส้นนี้คือเส้นทางรถไฟจากนคราชสีมาไปถึงอุบลราชธานี ที่มีการออกพระราชกฤษฎีกาฯ ที่มีการออกสองฉบับ ฉบับแรกออกตอนปีพ.ศ. 2462 และฉบับที่สองออกในปีพ.ศ. 2464
กรณีดังกล่าวก็เกิดกรณีว่า ทางศาลฎีกาฯ ท่านเชื่อการรถไฟฯว่าเอกสารที่นำมาแสดงเป็นเอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ ที่ต้องบอกว่า เอกสารแนบท้ายที่การรถไฟฯอ้างถึงมันไม่ใช่ เพราะเราตรวจแล้วมันไม่ใช่เอกสารแนบท้ายกฤษฎีกาฯ มันเป็นเหมือนแบบสำรวจเท่านั้น และเป็นแบบสำรวจตอนแยก เพราะปี พ.ศ.2462 ถึงปี พ.ศ. 2465 เป็นพระราชกฤษฎีกาสายหลัก ซึ่งหากจะต้องมีตอนแยก กฎหมายบอกว่า ต้องทำเหมือนสายหลักคือออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตแล้วก็จัดซื้อ ซึ่งถามว่ามีหรือไม่ ผมบอกตอนนี้ก่อนว่า "ไม่มี"พอไม่มี พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรอบคอบมาก ท่านก็เห็นว่าหากทำแล้วเพื่อป้องกันปัญหา ให้ทำสำเนาไว้ห้าชุดโดยห้าชุดดังกล่าวให้เก็บรักษาไว้ คือ หนึ่งศาลามณฑล สอง ศาลากลางจังหวัด สาม การรถไฟฯ ที่สมัยนั้นเรียกกรมรถไฟหลวง สี่ กรมที่ดิน ห้า ตำบลที่ตั้งพื้นที่ซึ่งถูกเวนคืน โดยสำเนาทั้งห้าฉบับต้องเป็นสำเนาถูกต้องทำตรงกัน ซึ่งจัดทำโดยกรมที่ดิน
ที่ถามว่ามีหรือไม่ ก็พบว่าไม่มี สำหรับเขากระโดง แต่สายหลักมีครบทั้งห้าฉบับ ไม่กระเด็นหายไปไหนเลย เราก็มาพิจารณากันว่าทำไมเขากระโดงไม่่มี ก็พบว่ามันเป็นตอนแยก ซึ่งในการตรวจสอบพบว่าพื้นที่ตอนแยกมี แต่ไม่มีตอนแยกช่วงพื้นที่เขากระโดง แต่เป็นตอนแยกพื้นที่อื่น ตรงแยกแม่น้ำมูล ที่มีการทำครบหมด เรามีการควานหาว่าทำไมเขากระโดงถึงไม่มี ก็สืบค้นกันจนพบว่า ตรงเขากระโดงพื้นที่ตอนแยกซึ่งไปตรงพื้นที่ซึ่งการรถไฟฯ
อ้างว่าเป็นเหมืองหินของเขา มันไม่ใช่เส้นทางตามพระราชกฤษฎีกาฯ และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย แต่ไปเข้าบทบัญญัติตามมาตรา 45 ของพระราชบัญญัติ จัดวางการรถไฟแลทางหลวง ฯ ที่กำหนดให้การรถไฟฯ มีสิทธิจะเข้าไปยังที่ดินบริเวณใดก็ได้ จัดทำรางเข้าไปเพื่อการขนส่งวัสดุอันจำเป็นต้องใช้ในกิจการการรถไฟฯ เรียกว่าเข้าไปปกครองทรัพย์ แต่ก็ให้เข้าไปได้ชั่วคราว พอเข้าไปแล้วแต่ยังต้องมีการขนส่งอยู่ก็ให้ขยายได้แต่ต้องไม่เกินห้าครั้ง จึงเป็นที่มาของเอกสารที่ปรากฏในศาล ที่มีเอกสารแบบสำรวจโดยมีชื่อบุคคลอยู่ 18 รายได้รับเงินค่าทำขวัญหรือค่าเวนคืน ไม่ใช่ค่าจัดซื้อ แต่การรถไฟฯไปอ้างว่าได้มีการจัดซื้อแล้วแต่พระราชกฤษฎีกาหาย เมื่อเรารู้แล้วว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางเพื่อการคมนาคมและเพื่อประโยชน์ทางการค้าของประชาชน แต่เขากระโดงเข้าไปเพื่อเอาวัตถุดิบ ที่ตามมาตรา 45 บอกว่าคือศิลา หรือหิน ที่เป็นเส้นทางชั่วคราว แต่ผมสันนิษฐานว่าหลังเสร็จสิ้นเส้นทางสายหลักแล้ว ยังคงมีการซื้อขายหินกันอยู่เพราะเข้าไปในเขตพื้นที่ซึ่งมีประชาชนประกอบการทุบหิน เพื่อเอาหินมาขายให้การรถไฟฯ เพราะถ้าการรถไฟฯ เป็นเจ้าของเหมืองหินตามการกล่าวอ้างในศาล ทำไมต้องไปซื้อหิน แต่ต้องจ้างทำหิน แต่มีการซื้อหิน ที่จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการซื้ออยู่ การรถไฟฯจึงรู้ดีว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเขา ศาลก็เลยต้องอาศัยความเชื่อและสิ่งที่เป็นประเพณีปฏิบัติ คือเชื่อว่าหนึ่ง พระราชกฤษฎีกาฯหายจริง สอง รัฐได้เข้าไปครอบครอง จึงถือว่าได้ยึดแล้ว จึงเป็นสิทธิของการรถไฟฯ แต่ผมก็ไม่ขอก้าวล่วง เพราะ ณ วันนั้น ท่านเจอเอกสารปลอม
ด้าน”ตฤณ แก่นหิรัญ หนึ่งในทีมทนายความเขากระโดง”กล่าวเสริมว่า คดีเขากระโดง นอกจากจะมีการกล่าวอ้างพระราชกฤษฎีกาต่างๆ ทางการรถไฟฯจะกล่าวอ้างเสมอว่า เขาอาศัยสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาฯ ที่ออกในปี พ.ศ. 2462 และ พ.ศ. 2464 (พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวง ต่อจาก นครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี) แต่เขาลืมไปว่า พระราชกฤษฎีกาฯ มันมีอายุฉบับละสองปี อันหมายถึง ฉบับแรก มีอายุถึงปี พ.ศ. 2464 แล้วจึงมีการมาขยายอีกหนึ่งฉบับ ที่ออกมาในปีพ.ศ. 2464 โดยฉบับดังกล่าวให้การถไฟฯ เข้าไปสำรวจ-จัดซื้อที่ดินต่างๆอีกสองปี ที่จะสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2466 แต่การจัดซื้อเส้นหลัก แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2465 และได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาฯจัดซื้อฉบับสุดท้ายของสายหลัก ที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2465
..อันหมายถึงหลังวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2465 การรถไฟจะทำอะไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปสำรวจเขตหรือการจัดซื้อ จะต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่ คำถามคือมีหรือไม่ คำตอบ ก็คือ ไม่มี เรื่องนี้ศาลไม่ได้วินิจฉัยและการรถไฟฯก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มี แต่เขาก็พยายามจะโยง เพราะที่ผ่านมา การรถไฟฯจะอ้างแต่ฉบับปี พ.ศ. 2462 กับ 2464 แต่หากลงรายละเอียดจริงๆ ทำไม การรถไฟฯ ไม่พูดกับประชาชนว่าพระราชกฤษฎีกาฯ มีอายุการใช้งาน ทำไมไม่บอกกับประชาชนว่าพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อฉบับสุดท้ายปี 2465 มันเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตแล้ว ทำไมไม่ยอมพูด
นอกจากนี้รายชื่อ 18 คนไม่ปรากฏในรายชื่อของประชาชนที่มีการจัดซื้อในปี พ.ศ. 2464 เลยแม้แต่คนเดียว แต่มีการอ้างว่า ที่ดินเขากระโดง มีประชาชนถูกจัดซื้อ 18 ราย แต่เรื่องจริงๆ คือการจัดซื้อตรงช่วงพื้นที่บุรีรัมย์ มีการจัดซื้อตอนปี 2464 และมีรายชื่อซึ่งรันต่อกันมาจากตอนจัดซื้อปี 2463 แต่พื้นที่เขากระโดงไม่มีรายชื่อ 18 คนที่ปรากฏ ก็ไม่มีอยู่ในพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อฯ แล้วเอาอะไรมาอ้าง ก็พบว่ามีการอ้างว่า รัฐได้เข้าไปทำประโยชน์แล้วในพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า จึงต้องตกเป็นของรัฐเลย ที่ก็เป็นแนวที่ศาลฎีกาฯเชื่อ และบอกตามนั้น แต่ว่ากฎหมายเองก็มีระยะเวลากำหนด ซึ่งมีพรบ.ว่าด้วยการหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินฯ พ.ศ.2478 ซึ่งที่ดินที่หวงกั้นจะตกเป็นที่ดินของรัฐ ก็ต่อเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาฯ กำหนดเขตและออกประกาศโฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ที่ไม่ต่างกัน เพราะถามว่ามีหรือไม่พื้นที่ตรงนั้น ก็พบว่าไม่มีเหมือนกัน ไม่ว่าจะด้วยกฎหมายใดก็ตาม
ทีมทนายความเขากระโดง อ้างมีการปลอมแปลงตัวเลขในแผนที่ ใช้เอกสารปลอม-เบิกความเท็จในชั้นศาล

“ตฤณ หนึ่งในทีมทนายความเขากระโดง”นำข้อมูลแผนที่คดีเขากระโดงมาอธิบายประกอบ ซึ่งมีรายละเอียดพอสมควร แต่สรุปเป็นสังเขปตามคำกล่าวของเขาว่า ที่เป็นไฮไลท์ก็คือ ที่มีการอ้างว่า แผนที่ ก.ที่มีการออกข่าวกันก่อนหน้านี้ ที่ระยะซ้าย-ขวา คือ 1 กิโลฯ ขยายออกมาเลยได้พื้นที่ 5,084 ไร่ แต่ถ้าเป็นแผนที่ตัวจริง ตัวต้นกำเนิด ก่อนจะมาเป็นแผนที่ ก. ระยะมาตราส่วนของแผนที่คือ 1 ต่อ 4,000 โดยวัดจาก 1 เซนติเมตรในแผนที่มีค่าเท่ากับ 40 เมตร ระยะตรงเขากระโดงที่เขาอ้างว่า 1 กิโลฯ กลับวัดระยะได้แค่ 2.5 เซนติเมตร พูดง่ายๆ 1 เซนติเมตร คือ 40 2 เซนติเมตรก็คือ 80 บวก .5 ก็คือ 20 ก็คือ 40 บวก 40 บวก 20 ก็คือ 100 เมตร มันได้แค่ 100 เมตร
“แต่แผนที่ฉบับนั้นมีการปลอมแปลงตัวเลข จาก 100 กลายเป็น 1000 ถามว่าทำไมมั่นใจว่ามีการปลอมแปลง ก็เพราะวิธีการเขียนเลขกำกับแผนที่ จะไม่มีความแตกต่างกัน ถ้าเกิดขึ้นจากผู้เขียนแผนที่คนๆเดียวกันหรือจากแผนที่ชุดเดียวกัน "
.อย่างเรื่องระยะพื้นที่ มาตราส่วนจะไม่โกหก คนเขียนแผนที่สมัยก่อนไม่มีใครมาโกหกเพราะมีการเขียนโดยมีการวัดระยะจริง แล้วจึงมาทำมาตราส่วน แต่แผนที่ของการรถไฟฯ ช่วงแรกทั้งช่วงตรงตามมาตราส่วน 1 ต่อ 4000 ทั้งหมด เอาไม้บรรทัดวัด จะตรงกับเลขกำกับที่เขียนทั้งหมด เช่นตรงเส้นหลักเขียนไว้ 40 เมตร เอาไม้บรรทัดวัด ก็ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 ต่อ 40 พอช่วงย่อยไปทางแยก หดลงเหลือแค่ 20 เอาไม้บรรทัดวัด ก็เหลือครึ่งเซนติเมตรตรงหมด จนมาช่วงเขากระโดง ใช้ไม้บรรทัดวัดได้แค่ 2.5 เซนติเมตร แต่กลับมีการไปเขียนไว้ 1000 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามหลักสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่เป็นหลักการเขียนแผนที่ซึ่งใช้กันมาไม่น้อยกว่าร้อยปี และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
...แต่ทำไม การรถไฟฯไม่บอกประชาชน คุณเขียนออกมา แต่ทำไม ไม่กล้าเอาแผนที่มาวัดให้ประชาชนดู แต่เขาไม่ทำ แล้วไปใช้แผนที่อื่นซึ่งมีการแปลงระยะจาก 100 กลายเป็น 1000 แล้ว ซึ่งมีข้อพิรุธที่เห็นได้ชัดเจน โดยการรถไฟฯ ไม่มีการพูดเรื่องนี้ ไม่บอกให้ศาลฟังว่าแผนที่อ่านอย่างไร และแผนที่ไหนถูกต้อง มีการหลอกลวงให้เชื่อว่านั่นคือระยะ 1 กิโลฯ ซึ่งหากนำแผนที่มางัดกัน เอาแบบไม่ต้องเถียงเรื่องข้อกฎหมาย แค่มาคุยกันเรื่องระยะในแผนที่ก็พอ
...เรื่องนี้มีความไม่สมเหตุสมผล กับการที่ประชาชนเขาอยู่ทำกินมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ รุ่นปู่ฯ แล้วอยู่ดีๆ ไปบอกว่าเป็นที่ของเขา(รฟท.) โดยที่พระราชกฤษฎีกาฯ กำหนดเขต ก็ไม่มี พระราชกฤษฎีกาฯ จัดซื้อก็ไม่มี แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ คือไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างเลย แต่ไปแหกตาศาลแล้ว แล้วอันนี้ก็โทษศาลเองไม่ได้ เพราะศาลเองก็ไม่ได้จะรู้ทุกเรื่อง ศาลท่านเองก็มีความรู้จำกัดไม่ต่างกับทนายความที่สู้คดีในช่วงนั้น ถ้าไม่มีใครบอกศาล ศาลท่านเองก็ไม่เข้าใจ เพราะคดีที่เข้าสู่ศาล สู้กันในระบบกล่าวหา เป็นระบบที่ใครกล่าวอ้าง ผู้นั้นนำสืบ ซึ่งประชาชนไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจาก สค. 1 ที่อยู่ในมือเขา สิ่งเหล่านี้คือความเสียเปรียบของประชาชนในยุคนั้น แล้วเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ไม่ซื่อสัตย์ที่จะพูดความจริงว่ามีแผนที่ แต่ไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ และไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตฯ ไม่มีพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อฯ มีแค่แผนที่ ซึ่งวัดระยะได้ร้อยเมตร เหตุใดถึงไม่ซื่อสัตย์ มีอะไรที่ทำให้ต้องโกหก
“หากการรถไฟฯ บอกว่าจะฟ้องประชาชน ผมก็อยากดูน้ำหน้าเขาว่าจะเอาแผนที่ไหนมาฟ้องประชาชน โดยหากนำแผนที่ซึ่งมีการแปลงมาตราส่วนจาก 100 เป็น 1000 มาใช้เมื่อใด ผมจะฟ้องข้อหาใช้เอกสารปลอมและเบิกความเท็จ นี้คือสาเหตุที่การรถไฟฯ ไม่กล้าฟ้องประชาชนจนถึงทุกวันนี้ เพราะคำพิพากษาศาลที่เขาพยายามกล่าวอ้าง เป็นคำพิพากษาที่ออกมาโดยมีข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน อันเกิดขึ้นจากการเบิกความเท็จของการรถไฟฯ”ทนายความคดีเขากระโดงระบุ
”เนวิน”สั่งลุยรับมือคดีเขากระโดง ดีเอสไอบิดกฎหมาย -ทำให้เป็นคดีการเมือง
จากนั้น”ชนินทร์ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง” กล่าวเสริมต่อไปว่า เรื่องเขากระโดง เป็นเรื่องการเมือง ที่เกิดขึ้นเมื่อห้าสิบปีก่อนที่การเมืองตอนนั้นกำลังคุกรุ่นระหว่างนายชัย ชิดชอบกับขั้วการเมืองอีกขั้วหนึ่ง วันนี้จะสังเกตุว่า เขา(รฟท. )พยายามจะบอกว่าเรื่องนี้ศาลฎีกาฯตัดสินแล้ว แต่จะพบว่าเขาไม่กล้าลงรายละเอียด ก็เอาแต่พูดว่า ศาลฎีกาตัดสินแล้วทำไมกรมที่ดิน จึงยังไม่ทำการเพิกถอน ผมจึงย้ำตอนแรกว่า คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ
ดังนั้นวันนี้ จะอ้างแต่คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไม่ได้ แต่ต้องเอาข้อเท็จจริงอย่างที่เราคุยกันมาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ใน"คดีใหม่"โดยเป็นเรื่องที่ประชาชนหากมีสิทธิที่ดีกว่าย่อมสามารถโต้แย้งคำพิพากษาของศาลฎีกาได้ โดยคำพิพากษาเดิมจบแล้ว แต่กับประชาชน 995 รายที่เป็นเจ้าของเอกสารสิทธิ จะมาอาศัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่คลาดเคลื่อน ไปบังคับเขา(ประชาชน) ไปปิดปากเขาไม่ให้เขาสู้ ทำไม่ได้
ส่วนว่า กรมที่ดิน มีอำนาจจะเพิกถอนเอกสารสิทธิ ฯ อย่างที่ อดีตรมว.มหาดไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวไว้ก่อนพ้นตำแหน่งได้หรือไม่ ก็พบว่า นายภูมิธรรม เคยแถลงว่าได้มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบการทำหน้าที่ของนายพรพจน์ เพ็ญพาส อดีตอธิบดีกรมที่ดิน โดยแถลงว่าผลสรุปออกมาว่ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ที่เขาตั้งมา ให้ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิทุกแปลง แต่ผมขอถามว่า ทำได้จริงหรือ ในเมื่อมีประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการเพิกถอนเอกสารสิทธิได้มีแค่อธิบดีกรมที่ดิน แต่จะทำได้ต่อเมื่อ ตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 ขึ้นมาก่อนเพื่อตรวจสอบ แต่ภูมิธรรม บอกว่าไม่ต้อง เพราะศาลฎีกาฯตัดสินแล้ว เขาเอาแต่พูดเรื่องศาลฎีกาฯตลอดโดยไม่มีความเข้าใจ แต่หากไปดูมาตรา 61 วรรคแปดเขียนว่า ให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิเมื่อคำพิพากษาถึงที่สุด นั่นหมายถึงเอาคำพิพากษามาสั่งเพิกถอนได้ แต่มันผูกพันเฉพาะคู่ความ เพราะคำพิพากษาในคดีหนึ่งจะนำมาใช้กับประชาชนอีก 995 รายไม่ได้ และมันไม่มีความชัดเจนตามกฎหมายด้วย เพราะวรรคแปดบอกว่า ต้องชัดเจนแล้วถึงค่อยดำเนินการ แต่กรณีนี้ยังไม่ชัดเจนว่า กรมที่ดินเป็นเจ้าของเอกสารสิทธิที่ดินอีก 995 แปลงด้วยหรือไม่ เพราะศาลยุติธรรม ยังไม่ได้ตัดสิน ต้องไปเริ่มต้นใหม่ก่อน
“ชนินทร์-ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง”ย้ำว่า ทางออกของเรื่องเขากระโดงที่ง่ายที่สุด คือยอมรับหลักนิติธรรมก่อน กฎหมายว่าอย่างไร เอาตามนั้น อย่าไปบิดมัน และเมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี แล้วมีการดำเนินการจบแล้ว แต่ในส่วน 995 รายจะทำอย่างไร เพราะจะไปเพิกถอนทันทีไม่ได้ ก็มีการตั้งคณะกรรมการฯตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดินขึ้นมาตรวจสอบแล้ว ที่ก็มีการโต้แย้งทุกประเด็นตามที่นายตฤณ ให้ข้อมูลไว้ จนกรมที่ดินต้องตั้งกรรมการมาตรวจสอบประเด็นที่ทางทีมทนายความนำเสนอ จนไม่มีใครกล้าที่จะเพิกถอนที่995 แปลง เพราะเขาได้มาโดยชอบ เลยไม่ได้มีการเพิกถอน
สิ่งที่ฝ่ายนายภูมิธรรมบอกก่อนหน้านี้ คือต้องการทำให้เกิดประเด็นทางสังคม เพราะทุกคนก็มองว่า เรื่องเขากระโดงเป็นไม้ตายของภูมิธรรม ที่ต้องการจัดการกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล แต่อย่าลืมว่าต้องแยกกันระหว่างนายอนุทิน นายกฯกับตระกูลชิดชอบ ที่นายอนุทินไปอยู่ตรงนั้น (ทะเบียนบ้านที่บุรีรัมย์) เพราะต้องการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่บุรีรัมย์ ส่วนนายเนวิน ได้ที่ดินทั้งหมด จากการซื้อที่ดินต่อจากประชาชนรุ่นแรกๆ เขาไม่ได้เป็นคนออกโฉนด 995 รายที่มีเอกสารสิทธิ ก็ต้องร้องต่อศาลปกครองทันที ที่เขาถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ ก็ไปร้องเรียกค่าชดเชย จากการที่ไปซื้อที่ได้เอกสารสิทธิมา แล้ววันนี้จะมาบอกว่าไม่ใช่แล้ว ต้องถูกเพิกถอน ซึ่งเมื่อก่อนซื้อราคาไม่แพง แต่วันนี้ไร่ละ 10 ล้านบาท ซึ่งหากชนะคดี ก็ต้องนำเงินภาษีประชาชนมาจ่าย ราษฎร 995 ราย
“ทนายความเขากระโดง-ชนินทร์”กล่าวต่อไปว่า เดิมไม่มีใครคิดจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ คิดว่าได้เงินก็โอเค เพราะก็เช่าในราคาถูกแต่พอเรามาเจอประเด็นสำคัญเรื่องนี้ นายเนวิน ก็ตัดสินใจเลือกที่จะช่วยประชาชน เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการเงินอะไรอีกแล้ว แต่เขาคิดถึงประชาชนที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย แล้วกรรมสิทธิของพวกเขาอยู่ดีๆ จะกลายไปเป็นของการรถไฟฯโดยไม่ชอบ เป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้ ก็ต้องสู้คดี นี้คือเหตุผลหลักจริงๆ ของนายเนวิน ชิดชอบ หากจะให้เขาเลือก ถ้าเขาเลือกเอาเงินจะสบายกว่าไหม เพราะวันนี้ที่ดินที่มีการพัฒนาไปราคาคือไร่ละ 10 ล้านบาท แล้วเวลาจ่ายค่าชดเชยต้องจ่ายค่าชดเชยราคาตลาดย้อนหลังห้าปี ไม่มีใครรู้เลยเรื่องพวกนี้ นักการเมืองอย่างนายภูมิธรรม ไม่ได้สนใจว่าประเทศชาติจะเสียหายแค่ไหน แต่คิดเพียงแค่ต้องการเอาชนะ ต้องการทำลายคู่แข่งทางการเมือง แล้วก็มักจะพูดแต่ว่าทุกอย่างต้องกลับคืนสู่ประชาชน ที่ดินต้องกลับคืนสู่ประชาชน แล้วประชาชนห้าพันกว่าครัวเรือนที่อยู่ตรงนั้น ไม่ใช่ประชาชนหรอกหรือ ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายประชาชน ไม่ได้รักประชาชนอย่างที่พูด
-ดีเอสไอให้การรถไฟฯไปแจ้งข้อกล่าวหาการบุกรุกที่ดินเขากระโดง ซึ่งการรถไฟฯ ได้ส่งตัวแทนไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับดีเอสไอเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบที่ดินทั้งหมดกว่า 4,000 ไร่ ที่อยู่ในแนวเขตที่ดินของการรถไฟฯ ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดหรือบุคคลใด เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบหรือไม่?
ชนินทร์-ดีเอสไอได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองไปแล้ว พวกเขา(ดีเอสไอ)รู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้หรือไม่ ก็รู้แต่เพื่อความก้าวหน้าในชีวิตราชการ และความอยู่รอดของพวกเขา ความโชคร้ายของดีเอสไอคือเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่มีพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอดีตรมว.ยุติธรรม(สมัยรัฐบาลเพื่อไทย)เขาใช้อำนาจสั่งการให้มีการไปดำเนินการตามความต้องการของเขาเพื่อการเมือง คนพวกนี้คิดอย่างเดียวคือจะใช้ช่องว่างอะไรในการดำเนินการได้ ซึ่งพรบ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ มีการกำหนดไว้ในบัญชีแนบท้ายว่าคดีแบบไหนที่รับเป็นคดีพิเศษไว้สอบสวนได้
สิ่งที่เขาทำไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขอำนาจของดีเอสไอเลยแต่มีการไปบิด คือไม่มีอำนาจตามกฎหมายแต่อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ดีเอสไอมีอำนาจอย่างหนึ่งคือ"สอบเบื้องต้น"เวลามีใครไปร้องอะไร ก็สอบเบื้องต้น แต่สอบเบื้องต้นแล้วหากเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ ก็จะยกเรื่อง
ตอนนี้เขาใช้กระบวนการสอบเบื้องต้นเพื่อสร้างข่าวให้พรรคเพื่อไทย ที่เดี๋ยวก็อาจยกเลิกไม่สอบ แล้วก็จะกลายเป็นว่าดีเอสไอยกเลิกเพราะนายอนุทินมาเป็นนายกฯ ซึ่งไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าผิด ไปต่อไม่ได้ เพราะเรื่องนี้หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าดีเอสไอทำไม่ได้ ที่ผ่านมาทำอะไรกัน แล้วพอยกเลิก นายกฯอนุทินซวยเลย ทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยเพราะเป็นเรื่องกระบวนการทางกฎหมาย ที่ความจริงอยู่ด้านซ้าย แต่มีการบิดกฎหมายให้ไปทางขวา พอให้กลับมาอยู่ซ้าย ก็จะบอกแล้วนี้ไง แล้วจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องที่นายกฯ และพรรคภูมิใจไทยจะสื่อสารกับประชาชนอย่างไร
เผยข้อแนะนำถึงนายกฯอนุทิน ทางออก ปัญหาเขากระโดง

“ชนินทร์”เปิดเผยว่า เรื่องนี้นายกฯอนุทิน ก็ concern และเคยถามผม ที่ผมก็แนะนำว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่เขาทำไป ให้ทำไปตามกฎหมาย เรื่องเขากระโดง วันนี้ไม่ว่าใครจะมา ก็เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็ให้การรถไฟฯเขาฟ้อง ให้เลิกใช้ข้อมูลลวงให้ประชาชนสับสน ก็ฟ้องประชาชน 995 รายเลยโดยให้ฟ้องเป็นคดีใหม่ แล้วความจริงจะปรากฏในศาลยุติธรรมเอง เพราะวันนี้ทีมกฎหมายพร้อมแล้ว จะได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ที่ผ่านมาหลีกเลี่ยงที่จะไม่ฟ้องประชาชนเพราะอย่างที่ให้ข้อมูลข้างต้นเพราะเขา(รฟท.)รู้ว่าเขาผิด แล้วความจริงจะปรากฏว่าเขานำเอกสารเท็จมาใช้ในศาล เขาจึงไม่กล้าฟ้องจนถึงวันนี้
ทำไมคนไม่แปลกใจกันบ้างหรือว่าทำไม รฟท.ถึงไปยื่นร้องให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอน เพราะเขามีหลักฐานชิ้นเดียวคือคำพิพากษาที่เขาให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ เขามีแค่เรื่องนี้อย่างเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น ที่คอยอ้างเรื่องมีเอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ หากเรื่องไปอยู่ที่ศาล ทางศาลก็จะได้เห็นความจริงเสียทีว่าไม่ใช่เอกสารแนบท้ายฯ แต่เป็นเอกสารแบบสำรวจที่จัดทำขึ้นโดยเจตนาทุจริต
-ที่บอกรฟท.ใช้เอกสารเท็จ แล้วรฟท.ทำเพื่ออะไร?
ชนินทร์ ทนายความเขากระโดง -มันเป็นการเมืองที่มีความพยายามให้เกิดความเชื่อ อย่าลืมว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาห้าสิบกว่าปีแล้ว คนรุ่นนั้นตอนนี้เกษียณไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่คนรุ่นใหม่แล้วเขาก็เชื่อเช่นนั้น ไม่แตกต่างจากที่คนเชื่อว่าแม่นากพระโขนงจริง ทั้งที่เป็นบทประพันธ์-บทนิยาย ก็เช่นกัน เขากระโดงคนก็เชื่อว่าเป็นที่การรถไฟฯมานานแล้ว โดยที่ท่านชัย ชิดชอบ ก็ไปทำหนังสือยอมรับเมื่อปี 2513 โดยที่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่การรถไฟฯ เพราะการรถไฟฯอ้างมาตลอดว่าตรงนั้นเป็นที่การรถไฟฯ มันก็เลยเป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยไหนจนถึงวันนี้ การจะไปลบล้างความเชื่อคนมันยาก จึงต้องอาศัยกฎหมาย ครั้นพอจะอาศัยกฎหมาย ก็มีเรื่องอีกว่าไปแทรกแซงกรมที่ดิน จนกรมที่ดินไม่ยอมเพิกถอน วันนี้เรากำลังต่อสู้กับความเชื่อมากกว่าหลักฐาน
"เรื่อง เขากระโดง ทางออกของเรื่องนี้มีทางเดียว คือการรถไฟฯต้องตัดสินใจยื่นฟ้องราษฎร 995 ราย ซึ่งทั้ง 995 รายจะสู้ประเด็นเดียวกัน เพราะเราเป็นทนายให้ทั้ง 995 ราย การรถไฟฯ ไปยื่นฟ้องรายใดรายหนึ่งก็ได้ โดยเฉพาะรายไหนที่คิดว่าฟ้องแล้วจะดังเป็นพลุ ก็ยื่นฟ้องมา แล้วไปสู้คดี ถ้าศาลยุติธรรมบอกว่าเป็นที่ของการรถไฟ มันก็จะจบเลย ทั้งหมดจะไม่มีการต่อสู้กับรฟท.อีก ที่ก็จะทำให้รายอื่นๆ อาจคิดว่าไม่รู้จะสู้อย่างไรแล้ว เพราะก็ต่อสู้คดีในแนวเดียวกัน รายอื่นๆ อาจจะยอมเลย แต่ยืนยันว่าหากมีการฟ้องมา ข้อมูลและข้อต่อสู้ที่เรามี เรามีเป็นคันรถเลย และไม่ใช่รถสองแถว แต่เป็นสิบล้อเลยสำหรับข้อต่อสู้”
-นายเนวิน ชิดชอบ หนักใจเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องการสู้คดีเขากระโดง?
ชนินทร์-ไม่หนักใจเลย เขาเชื่อมั่นในทีมกฎหมาย ผมเป็นทนายความคุณเนวิน มากว่ายี่สิบปี เราทำทุกคดีให้กับคุณเนวินในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เราก็ทวงคืนความยุติธรรมให้ทุกคดี เช่นคดีกล้ายาง ที่ทุกคดีจบลงอย่างเรียบร้อย
แนะ”พิพัฒน์ รมว.คมนาคม” ให้การรถไฟฯ ฟ้องราษฎรฯ คาดจบภายในสามปีหลังคดีขึ้นศาล
-เมื่อนายอนุทิน ที่เป็นนายกฯควบรมว.มหาดไทยและนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นรมว.คมนาคม หากเรื่องเขากระโดงไม่มีความคืบหน้า คนก็จะวิพากษ์วิจารณ์ตามมา?
ชนินทร์-จะมีความคืบหน้า แต่ก็จะเป็นไปตามกลไกของกฎหมาย โดยตัวคุณพิพัฒน์ รมว.คมนาคม ก็ถึงเวลาแล้วที่ควรต้องไปบอก การรถไฟฯว่าเรื่องนี้เพื่อให้มันจบ เพราะเป็นประเด็นข้อข้องใจของประชาชน คือศาลฎีกา ตัดสินแล้วทำไม ทำอะไรไม่ได้ การรถไฟฯต้องชี้แจงความจริง ศาลฎีกาตัดสินแล้วทางการรถไฟฯ ได้ทำอะไรกับราษฎร 35 รายก่อนหน้านี้ มีการให้เขาออกไปจากที่ดินแล้วหรือยัง หรือรายไหนที่ยังไม่ออกแต่มีการทำสัญญาเช่า แบบนี้ต้องชัด เพื่อบอกว่า มีการดำเนินการกับคู่ความตามคำตัดสินของศาลฎีกาฯไปแล้ว ส่วนรายไหนที่ศาลบอกให้เพิกถอน ทำไปแล้วหรือยัง หากทำแล้วก็บอกกับประชาชนว่าการรถไฟฯ ทำไปแล้ว
ส่วน 995 รายก็ให้การรถไฟฯ ไปฟ้องแล้วบอกกับประชาชนว่า เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไม่มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอกโดยตรง ดังนั้นก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายคือ เอาคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไปประกอบสำนวนยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ กับรายหนึ่งรายใดใน 995 แปลงเพราะข้อต่อสู้ของทั้งหมดเป็นประเด็นเดียวกัน คือการรถไฟฯ ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพราะ 995 ราย มีเอกสารสิทธิคือโฉนด หรือไม่ก็นส.3 จึงย่อมมีสิทธิต่อสู้ตามกฎหมาย ไม่ต้องไปฟ้องทั้ง 995 ราย ฟ้องแค่ฟ้องรายใดรายหนึ่งก็พอ เมื่อผลคำพิพากษาออกมาก็ต้องปิดปากคนเหล่านี้ได้ทันที
"คดีเขากระโดงจะจบภายในสามปี นับจากปี 2569เพราะกว่าจะขยับฟ้อง กว่าจะมีการสืบคดี โดยการฟ้องต้องไปฟ้องที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ พอฟ้องแล้ว ศาลจะนัดสืบพยานประมาณต้นปี 2569 ส่วนจะใช้เวลากี่เดือน ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
ซึ่งฝ่ายเรามีพยานหลักฐานเยอะ ฝ่ายเขา(รฟท.)คงไม่ค่อยมี พอมีพยานหลักฐานเยอะ ก็ต้องใช้เวลาในการนำสืบ ที่คาดว่าไม่เกินเดือนเมษายน การสืบพยานคงเสร็จสิ้นแล้วการนัดอ่านคำพิพากษาคงน่าจะเป็นสักช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งผลคำพิพากษาออกมาอย่างไร โจทก์หรือจำเลย ก็คงใช้สิทธิ์อุทธรณ์ พอไปศาลอุทรธรณ์ก็คงไม่เกินหนึ่งปี ที่ก็จะไปถึงช่วงปี 2570 ส่วนจบจากศาลอุทธรณ์แล้ว จะฎีกาได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าศาลฎีกาอาจไม่รับ อันนี้ผมพูดให้เป็นบวกกับการรถไฟเลยฯคือ ถ้าการรถไฟฯ ชนะทั้งสองศาลคือศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ก็อาจจะฎีกาไม่ได้แล้วเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง แต่หากไปถึงศาลฎีกาฯ ได้ ก็คิดว่าน่าจะประมาณปี 2571 คดีคงจบ
โดยหากผลคำตัดสินของศาลฎีกาฯ ออกมาเป็นบวก ก็จบกันเลย แต่หากเป็นลบ ประชาชนแพ้คดี ก็ต้องมีการไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการฯ ตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดินฯ ทำการเพิกถอน หากประชาชนคนไหนยังติดใจอยู่ ก็สามารถไปสู้ต่อที่ศาลปกครองได้ แต่ถามว่าใครจะสู้ หากศาลฎีกาฯ ยันขนาดนั้น ก็คงไม่มีใครสู้ ก็จบ จากนั้น รัฐบาลก็เตรียมเงินก้อนหนึ่งประมาณสองหมื่นล้านบาทได้ จ่ายชดเชยเขาไป เรื่องนี้ประชาชนเขาไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้กับได้ ไปซ้ายก็ได้ ไปขวาก็ได้ แต่ที่เขาสู้วันนี้สู้เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ประเทศ ที่ไม่ต้องมาจ่ายเงินให้พวกเขาฟรีๆ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
🛑LIVE ร้องข้ามกำแพงคุก!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ร้องข้ามกำแพงคุก!! ห้องข่าวไทยโพสต์ : ประจำวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
🛑LIVE คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ!! ภาพร่วมเฟรม 'เจ้าพ่อสแกม' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ :วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้
🛑LIVE ละครการเมือง คว่ำน้ำเงิน!? | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : พุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568


