
MOU ที่สหรัฐฯ ทำกับเรา หากสรุปก็คือให้สิทธิกับสหรัฐฯ ในการวิเคราะห์ มาขยายพื้นที่ สำรวจพื้นที่ โดยหากว่าเจอแร่หายากต้องให้โอกาสนักลงทุนสหรัฐฯ ก่อนในการที่จะมาขุดและสร้างโรงงาน และเรื่องการอนุญาตต่างๆ หากมีประเด็นเรื่องกฎหมายระดับชาติ ระดับท้องถิ่น จะต้องอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนสหรัฐฯ ด้วยความรวดเร็วและคล่องตัวมากที่สุด รวมถึงแม้จะมีการให้ยกเลิก MOU ได้ แต่ว่าโครงการต่างๆ ที่ได้ทำไปแล้วยกเลิกไม่ได้ ต้องดำเนินการต่อ ...ที่ผมมองคือ MOU ฉบับนี้ไม่ค่อยรอบคอบเท่าที่ควร เพราะจริงๆ เราควรต้องผูกเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสุขภาพชุมชนเข้าไปด้วย แต่ผมก็เข้าใจรัฐบาล เพราะหากไม่เซ็นเลยก็โดนบีบ
ยังคงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง จากกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไปลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู (Memorandum of Understanding - MOU) ระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกากับรัฐบาลไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ โดยไปลงนามในช่วงนายกรัฐมนตรีไปร่วมประชุมอาเซียนซัมมิตที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา โดย MOU ดังกล่าวเรียกกันว่า "บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในเพิ่มความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและส่งเสริมการลงทุน"
รายการ "ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" สัมภาษณ์พิเศษ นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดัง "ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย" ต่อประเด็นดังกล่าว โดยมีเนื้อหาบางส่วนดังนี้ เริ่มจากการที่ได้กล่าวถึงแร่หายากหรือแร่แรร์เอิร์ธโดยสังเขปว่า เป็นแร่ที่มีธาตุโลหะอยู่ 17 ชนิด ซึ่งไม่ใช่แร่ที่มีลักษณะเป็นก้อนๆ แต่เป็นแร่ที่ติดอยู่ในหินแกรนิต มีคุณสมบัติคือทนความร้อนสูง นำไฟฟ้าได้ดี จึงมีการสกัดแร่เพื่อนำไปทำอุปกรณ์ไอที, อุปกรณ์ดิจิทัลเทคโนโลยีสมัยใหม่, โทรศัพท์มือถือ, จอแสดงผลเลเซอร์, แบตเตอรี่รถไฟฟ้า, หัวจรวด, พวกอาวุธต่างๆ เป็นต้น
การนำมาใช้ต้องมีการสกัดทำให้มีราคาแพง ซึ่งแม้จะเรียกว่าแร่แรร์เอิร์ธหรือแร่หายาก แต่จริงๆ หาไม่ยาก มันอยู่ในเปลือกโลก แต่เข้มข้นน้อย จึงต้องสกัดให้มีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อนำไปใช้ประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำให้มีราคาแพง
สำหรับประเทศไทย สหรัฐอเมริกาส่องมาแล้วประเทศไทยมีแร่หายากนี้เป็นอันดับ 12 ของโลก คือมีอยู่ประมาณ 4,500 เมตริกตัน ซึ่งหากขายทำกำไรจะได้เงิน 4 พัน 4 ร้อยล้านล้านบาท
สำหรับประเทศที่มีมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลกคือจีน มีประมาณ 44 ล้านเมตริกตัน ส่วนสหรัฐฯ อยู่อันดับ 7 มีอยู่ 1.9 ล้านเมตริกตัน แต่สหรัฐฯ บอกว่าไทยส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ 13,000 เมตริกตันในปี 2567 เป็นอันดับ 4 ของโลก
ทางไทยไม่ได้ทำเหมืองแต่ไปรับของเขามา คือนำเข้ามาแล้วนำมาสกัด เอามาทำให้บริสุทธิ์ทำให้เข้มข้น ซึ่งก็มีโรงงานอยู่ที่นครราชสีมา (บริษัท Neo Magnequench ของแคนาดา) เป็นลักษณะรับจ้างผลิต คือบริษัทนำเข้ามา ซึ่งก่อนหน้านี้แทบไม่มีใครรู้ว่าบ้านเรารับจ้างผลิต โดยเขาอ้างว่านำเข้ามาจากออสเตรเลียและหลายที่ ไม่มีการเปิดเผย คือเข้ามาลงทุนแล้วประเทศไทยก็ให้บีโอไอ
...สำหรับการสกัดแร่หายากแตกต่างจากการทำเหมืองแร่ทั่วไปคือ หากเป็นเหมืองแร่โดยทั่วไปก็เปิดหน้าดินแล้วระเบิด จากนั้นนำหินออกมาเอาไปเข้าโรงงานสกัด แต่สำหรับแร่หายากเนื่องจากมีน้อย จึงต้องใช้สารเคมีมหาศาลแล้วไปสกัด โดยต้องใส่สารต่างๆ เยอะ เช่นพวกโลหะหนัก กระบวนการต้องทำหลายขั้นตอน ทำให้มีโอกาสเกิดการปนเปื้อน
สำหรับแร่หายากประเทศไทยยังไม่เคยมีการขุด ทำเพียงแต่รับจ้างนำของที่ส่งมาแล้วนำไปแปรรูปในเชิงพาณิชย์ การขุดยังไม่มีการทำ แต่พอมีข่าวเรื่องไทยทำเอ็มโอยูกับสหรัฐฯ ก็เริ่มมีการหาข้อมูลกันแล้วว่าจะเจอแร่ที่ใดบ้าง อยู่ในที่ดินใครบ้าง แต่ว่าสายแร่แรร์เอิร์ธมันอยู่ที่แกรนิต ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีเคยสำรวจแล้ว พบว่าภาคเหนือมีที่เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ภาคตะวันตกที่อุทัยธานี กาญจนบุรี ภาคใต้คือประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ชุมพร พังงา สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีสายแร่ตามที่กรมทรัพยากรธรณีบอกไว้ เคยมีการสำรวจไว้หมดแล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ว่ามีปริมาณรวมทั้งหมดเท่าใด ส่วนใหญ่ก็อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ (พื้นที่ต้นน้ำลำธารที่ยังคงมีสภาพป่าสมบูรณ์)- พื้นที่ป่าสงวนฯ ที่ไม่มีคนอยู่ก็คือในป่า เพราะหินแกรนิตอยู่ในป่าเป็นภูเขา
...สิ่งที่จะตามมาหากเข้าไปทำก็จะกระทบกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เช่นหากต้องไประเบิดภูเขา ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ สัตว์ป่าหายากจะหนีหมด ซึ่งสิ่งที่เขาต้องการหากจะเข้ามาทำก็คือจะขอสัมปทาน เพราะที่เป็นพันๆไร่ไม่ใช่แค่หลักร้อยไร่ เพราะฉะนั้นหากสหรัฐฯ-นักลงทุนเข้ามา ก็จะขอสัมปทานคล้ายๆ กับเหมืองทองอัคราที่จังหวัดพิจิตร ที่ได้สัมปทาน 25 ปี ก็ทำให้หากได้สัมปทานไป 25 ปี หากเขาทำอะไรเราจะตรวจสอบยาก อย่างตอนเหมืองทองที่พิจิตรเราไม่รู้เลยว่าจะมีสารไซยาไนด์
"ดร.สนธิ" ยกตัวอย่างในต่างประเทศที่มีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธว่า ในประเทศจีนจากรายงานของต่างประเทศ Global Witness ซึ่งศึกษาผลกระทบของการทำเหมืองแร่ธาตุหายาก พบว่าที่ประเทศจีนมีปัญหาค่อนข้างเยอะ ในพื้นที่เขตก้านโจวที่อยู่ทางตอนใต้ของจีน มีบางหมู่บ้านประชาชนเป็นมะเร็งทั้งหมู่บ้านก็มี คือทำเหมืองแร่แล้วเอาท่อไปเสียบ แล้วมีการใส่สารเคมีลงไป แล้วสุดท้ายมันไปละลายภูเขาจนภูเขาพังลงมา แล้วก็มีน้ำปนเปื้อน ทั้งน้ำใต้ดินน้ำบนผิวดินก็มีสารเคมี
ขณะเดียวกันแร่หายาก สิ่งที่น่ากลัวคือมีกัมมันตภาพรังสีที่เป็นหางแร่ ที่มีปัญหาคือเรื่องการกำจัดจะทำอย่างไร พบว่าที่ประเทศสหรัฐฯ ใช้วิธีนำไปฝังในทะเลทราย แล้วหากเป็นของไทยจะเอาไปไว้ตรงไหน ซึ่งพอที่จีนเจอปัญหา รัฐบาลจีนก็สั่งให้หยุดทำ เลยไปทำที่เมียนมา ไปทำตรงภาคเหนือของเมียนมาที่ติดกับจีน ซึ่งใน Global Witness บอกว่ามีการทำ 2,700 แห่ง แต่จีนบอกว่าเข้าไปทำอย่างถูกกฎหมายมีประมาณ 60 แห่ง ส่วนที่เหลือไปอยู่ที่เขตว้า รัฐฉาน แล้วสุดท้ายปล่อยน้ำเสียออกมาปนเปื้อนในแม่น้ำกก ที่มีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานแล้วข้ามแดนเข้ามาในไทย
สำหรับสหรัฐฯ มีแร่หายากดังกล่าวอยู่ประมาณ 1.9 ล้านตัน เป็นอันดับ 7 ข.องโลก มีมหาศาลแต่พบว่าเปิดทำแค่สองที่ คือที่แคลิฟอร์เนียกับรัฐจอร์เจีย แต่ปัจจุบันพบว่า ปิดไปแล้ว โดยของสหรัฐฯ พอขุดขึ้นมาก็ไม่ได้ให้มีการสกัดในประเทศสหรัฐฯ แต่ส่งไปที่ประเทศจีนกับมาเลเซีย โดยอ้างว่าที่ส่งไปประเทศอื่นให้ทำเพราะมันทำลายสิ่งแวดล้อมมาก ตอนนี้จีนก็เป็นอันดับหนึ่งเพราะมีแร่เยอะและทำเยอะ แล้วก็ขายให้สหรัฐฯ พอสหรัฐฯ ไปขึ้นภาษีการค้ากับจีน ทางจีนเลยแก้เผ็ดสหรัฐฯ บอกจะไม่ขายแรร์เอิร์ธให้สหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ เลยต้องมาหาที่อาเซียน มาหาพวก มาคานอำนาจ คือก็เอาแร่มาบังหน้าแต่จริงๆ ต้องการมาแผ่อิทธิพลแถบนี้ โดยแร่แรร์เอิร์ธที่จีนขายให้สหรัฐฯ ก็ถูกนำไปทำขีปนาวุธ จรวด เครื่องบินต่างๆ เป็นต้น
เมื่อถามว่าแสดงว่าตอนนี้ใครคุมแรร์เอิร์ธก็เหมือนกับคุมโลกได้เลย "ดร.สนธิ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ" กล่าวตอบว่า "ใช่ครับ" เพราะว่าราคาแพงและเป็นอาวุธในศตวรรษที่ 21 เรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหมด ทางสหรัฐฯ เองก็ไปทำเอ็มโอยูเรื่องแรร์เอิร์ธกับหลายประเทศทั่วโลก มีการแสวงหาเพื่อเอาแร่แรร์เอิร์ธไปใช้ประโยชน์ แต่ประเด็นที่ถูกตั้งข้อสังเกตก็คือ ทำไมสหรัฐฯไม่ขุดทำของตัวเองทั้งที่สหรัฐฯ เองก็มีแรร์เอิร์ธอยู่มาก ทำไมต้องไปซื้อที่อื่น คำตอบก็คือมันทำลายทรัพยากรธรรมชาติเยอะ มันแพง มันใช้พลังงานเยอะ ใช้น้ำเยอะ แล้วอเมริกาฯ เขาประชาธิปไตย ชนเผ่าพื้นเมืองเขาไม่ยอม ประชาชนในพื้นที่เขาไม่ยอม เลยไปตั้งโรงงานสกัดแรร์เอิร์ธที่อื่น
ผมเข้าใจว่าที่จะมาที่ประเทศไทย เหตุหนึ่งก็คือ ถ้าเขาเข้ามาสำรวจแล้วพบว่าประเทศไทยมีแรร์เอิร์ธไม่เยอะในการจะขุดขึ้นมา หรือหากเกิดมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมอะไรต่างๆ เขาก็คงไม่ขุด แต่เขาจะขอตั้งโรงงานในการที่จะทำให้แร่แรร์เอิร์ธเป็นแร่บริสุทธิ์ที่ประเทศไทย แล้วส่งแร่กลับไปที่ประเทศเขา แต่อย่าลืมว่าขยะ ของเสีย กากอุตสาหกรรม พวกกัมมันตภาพรังสีมันอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งใน MOU ที่ตกลงกัน ก็มีการเขียนว่าเขาขอสำรวจ เรา ขอดูพิกัด
...MOU ที่สหรัฐฯ ทำกับเรา หากสรุปง่ายๆ ก็คือ ให้สิทธิกับสหรัฐฯ ในการวิเคราะห์ มาขยายพื้นที่ มาสำรวจกับสหรัฐฯ โดยหากว่าเจอ ต้องให้โอกาสนักลงทุนสหรัฐฯ ก่อนในการที่จะมาขุดและสร้างโรงงานตรงนี้ และเรื่องการอนุญาตต่างๆ หากมีประเด็นเรื่องกฎหมายระดับชาติ ระดับท้องถิ่น จะต้องอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนสหรัฐฯ ด้วยความรวดเร็วและคล่องตัวมากที่สุด รวมถึงแม้จะมีการให้ยกเลิก MOU ได้ แต่ว่าโครงการต่างๆ ที่ได้ทำไปแล้วยกเลิกไม่ได้ ต้องดำเนินการต่อ เช่นสมมุติว่าเขามาตั้งโรงงาน มีการขุดแล้ว แต่เราบอกว่าไม่เอาแล้วเพราะเกิดผลกระทบสูง ขอยกเลิก MOU ไม่ทำแล้ว ก็ไม่ได้ คือยกเลิก MOU ได้ แต่ที่ได้ทำไปแล้วต้องให้เขาทำต่อ
"ที่ผมมองคือ MOU ฉบับนี้มันไม่ค่อยรอบคอบเท่าที่ควร เพราะจริงๆ เราควรต้องผูกเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสุขภาพชุมชนเข้าไปด้วย เขาจะเข้ามาสำรวจได้ เข้ามาทำอะไรได้ แต่เมื่อจะมีการลงทุน แล้วต้องให้เขาก่อน มันไม่ได้ ควรต้องเปิดให้นักลงทุนทั่วโลก”
ควรต้องมีอะไรเป็นเกราะป้องกันไว้ก่อน ต้องมี minimum requirements (ข้อกำหนดขั้นต่ำ) ในการที่จะบอกว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม-เศรษฐกิจและสังคมชุมชน เพราะหากเราไม่มีอะไรเลยแล้วไปรับเขาหมด มันไม่ใช่ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะหมกเม็ดอะไร ต้องมีเกราะป้องกันตัว..ผมเห็นใจรัฐบาล แต่ติดใจนิดเดียวคือไม่บอกกัน เพราะมาเลเซียเขาบอกกับประชาชน มาเลเซียออกข่าวก่อนว่าจะไปเซ็นกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ พอของเราไม่บอกคนก็หงุดหงิด เพราะเป็นประเทศประชาธิปไตยต้องเปิดเผยโปร่งใส แต่คำว่าขายชาติคงไม่ใช่อย่างนั้น อย่าไปว่าอย่างนั้นเลย
...อย่างของประเทศมาเลเซีย ของเขาให้เข้าไปสำรวจได้ แต่หากเจอแหล่งต้องเปิดโอกาสให้ทั่วโลกลงทุน แต่ที่ทำกันคือต้องให้เขา (สหรัฐอเมริกา) ก่อน เขาจะขอก่อน รวมถึงเรื่องที่ว่าหากเข้ามาดำเนินการแล้วเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เราจะยกเลิก MOU แต่ไปเขียนว่ายังให้เขายังทำต่อได้ ไม่ยกเลิก อันนี้ก็ไม่รอบคอบ จริงๆ ต้องเขียนผูกเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม ชีวิตชุมชน ต้องเขียนผูกส่วนนี้เข้าไปด้วย อย่างมาเลเซียก็ไปเซ็นกับสหรัฐฯ แต่เขาเอาตรงนี้มาบอกกับประชาชนก่อน ให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ก่อน แต่ผมก็เข้าใจรัฐบาล เพราะหากไม่เซ็นเลยก็โดนบีบ เขาก็บอกว่าหากเซ็นแล้วจะลดภาษีบางชนิดลงมา มันก็กลายเป็นว่าโดนบีบ หากผมเป็นรัฐบาลก็ต้องยอม อันนี้ก็พูดตรงๆ เพราะว่าก็มหาอำนาจ แล้วเขาก็ยอมลดภาษีให้เรา ไม่อย่างนั้นสหรัฐฯ ลดให้ประเทศอื่นแต่ไม่ลดให้เรา แล้วจะไปค้าขายสู้กับประเทศอื่น สู้กับเวียดนามอย่างไร แต่ตอนนี้ในมุมของประชาชนก็มองว่าเรื่องเศรษฐกิจก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องสิ่งแวดล้อมก็เรื่องใหญ่ต้องระวัง แต่หากอยู่ในวาระของรัฐบาลตอนนั้นที่ไปเจอกับเขา (สหรัฐฯ) แล้วเขาบอกว่าเราจะเอาหรือไม่เอา เวียดนามเอา มาเลเซียเอา เขาลดภาษีให้หมดเลย หากไม่เอาภาษีก็โด่งอยู่คนเดียว ไม่ต้องขายอะไรแล้ว
“อันนี้เราก็เข้าใจรัฐบาลได้ แต่ว่าสุดท้ายแม้จะเซ็นไปแล้ว แต่ถึงวันนี้ก็ต้องกลับมาคุยกันแล้วว่าเราจะตั้งรับกันอย่างไร ผมมองว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และกรมทรัพยากรธรณีควรต้องมีอะไรเป็นเกราะป้องกันไว้ก่อน ต้องมี minimum requirements (ข้อกำหนดขั้นต่ำ) ในการที่จะบอกว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจสังคมชุมชน เพราะหากเราไม่มีอะไรเลยแล้วไปรับเขาหมด มันไม่ใช่ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะหมกเม็ดอะไร ก็ต้องมีเกราะป้องกันตัว”
...เช่นหากคุณเข้ามาต้องทำตามกฎหมายอะไรต่างๆ มีกี่ข้อว่าไป และต้องมีระบบอะไรบ้าง แต่เราก็ยังไม่มีความรู้ ช่วงนี้เราก็ต้องหาความรู้ โดยมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา มีวาระอะไรขึ้นมา ไปหาข้อมูลมา และสิ่งสำคัญคือต้องบอกประชาชน ต้องให้ประชาชนรู้ว่าแรร์เอิร์ธคืออะไร และมันจะมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม อย่าไปปกปิด แล้วจะป้องกันอย่างไร
เมื่อถามว่าหากไทยรู้แล้วว่าพื้นที่ใดมีแรร์เอิร์ธ แล้วไทยจะทำเอง เอ็มโอยูที่ทำไว้จะขวางไทยหรือไม่ "ดร.สนธิ" กล่าวตอบว่า ไม่ขวาง ทำเองได้ แต่เอ็มโอยูบอกว่าให้บอกเขา แต่เราจะทำเอง แต่คำถามคือว่ากระทรวงอุตสาหกรรมก็รู้ว่าไทยมีอยู่ตรงไหน มีหลายที่ แล้วทำไมไม่ทำ ก็เพราะมันทำลายสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีมันแพง และเราก็คงไม่อยากเอาเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เพราะว่าแร่พวกนี้เป็นแร่หายาก เราไม่อยากให้ใครเข้ามา เพราะเอาขึ้นมา คำถามคือว่าเราจะเอามาผลิตอะไร เราจะผลิตอาวุธเองหรือ ถามว่าตอนนี้นักการเมืองรู้ไหมว่ามีแร่ตรงไหนบ้าง ผมว่าเขารู้หมดแล้ว ที่ผ่านมากรมทรัพยากรธรณีไม่พูดเลย แต่พอมีการเปิดเผยเรื่องนี้ก็เลยต้องให้ข้อมูลว่ามีแร่ตรงพื้นที่ใดบ้าง
เซ็นไปแล้วก็ต้องเดินหน้า แต่ต้องเตรียมหาเกราะป้องกัน
เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องนี้ควรให้มีการทำหรือไม่ "ดร.สนธิ" กล่าวว่าตอนนี้มันเดินหน้าไปแล้ว เรื่องเอ็มโอยูเราก็เห็นใจรัฐบาล มันมีการเซ็นไปแล้วในนามรัฐบาล เมื่อไปเซ็นแบบนี้มันเดินหน้าไปแล้ว จะไปยกเลิกไม่ได้ เราก็ต้องหาเกราะป้องกันตัว หาวิธีการ เช่นหากเขาจะเข้ามาทำ เราก็ต้องบอกเขาว่าอย่างน้อยต้องมี เช่นห้ามทำในจุดใด เช่น พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ พื้นที่ใกล้ชุมชน พื้นที่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว พื้นที่เหล่านี้ห้ามทำ และหากจะมีการตั้งโรงงานสกัดแร่ ซึ่งตอนนี้ในไทยก็มีอยู่ แต่เราก็ต้องตรวจโรงงานให้ดีว่าแร่มาจากไหน ทำแล้วมีผลกระทบอย่างไร ต้องมีการคุมเข้ม
ถามย้ำว่า เห็นด้วยหรือไม่หากจะให้มีการทำเหมืองขุดแร่ในประเทศไทย "ดร.สนธิ" กล่าวว่า ผมไม่อยากให้ขุด ก็อาจแค่ตั้งโรงงานสกัด แล้วก็ไปคุมโรงงานให้ไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม มีการวางระบบให้ดี ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ก็ต้องมีมาตรการต่างๆ ชัดเจน เช่น หางแร่, กากอุตสาหกรรมที่มีกัมมันตภาพรังสี จะทำอย่างไรก็ต้องมาว่ากัน แต่หากจะให้มีการขุดผมว่ามันก็ลำบาก แต่ถ้ามันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ หากถึงวันนั้นผมว่ารัฐบาลต้องมีเกราะป้องกันตัว ก็คือออกกฎหมาย ดูว่าตรงไหนจะให้เป็นพื้นที่คุ้มครอง เช่นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นหนึ่งเอ พื้นที่ภูเขา แหล่งท่องเที่ยวห้ามทำ ก็เขียนออกมาให้ชัด ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมก็ได้ว่าพื้นที่ตรงไหนห้ามทำ เอาให้ชัด เพราะหากจะทำเหมืองแร่มันต้องใช้พื้นที่เยอะ สารเคมีเยอะ และมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นต้องมีมาตรการที่เป็นเกราะป้องกันไว้ก่อน เพราะต้องใช้พื้นที่เป็นพันไร่ ก็เหมือนกับตอนทำเหมืองทองที่จังหวัดพิจิตร
"เราต้องเตรียมพร้อม รัฐบาลต้องบอกประชาชน ทำให้ประชาชนรู้ว่าแร่แรร์เอิร์ธคืออะไร ทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจว่าจะมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร และพื้นที่ตรงส่วนไหนต้องป้องกัน ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เขียนให้ชัดว่าพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เช่นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอห้ามทำ ก็บอกให้ชัด"
ถามย้ำว่า คิดว่าจะมีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในประเทศไทยหรือไม่ "ดร.สนธิ" กล่าวว่า หากสหรัฐฯ มีการสำรวจในไทยแล้วพบว่ามีน้อย เขาคงไม่ลงทุน เพราะอย่างตัวเลขที่บอกก่อนหน้านี้ 4,500 ตันถือว่าน้อย และเป็นตัวเลขที่มีการประเมินคร่าวๆ แต่แม้จะน้อยแต่ว่าแพง ซึ่ง 1 ตันมีข้อมูลว่า ทำให้เกิดมลพิษประมาณ 2 พันตัน ที่ก็คือหากผลิตแร่แรร์เอิร์ธมา 1 ตัน มันจะมีการปล่อยน้ำเสีย ปล่อยมลพิษทางอากาศ กากอุตสาหกรรมทั้งหมดประมาณ 2 พันตันต่อแร่ 1 ตัน ซึ่ง 1 ตันดังกล่าวคือแร่หนึ่งก้อนที่นำมาสกัด ไม่ใช่แรร์เอิร์ธ
"คือผมก็ให้กำลังใจรัฐบาล ไม่ได้คัดค้าน รัฐบาลก็เซ็นสัญญาไปแล้ว ก็เข้าใจรัฐบาลว่าโดนบีบ ก็ต้องเซ็น เพื่อแลกกับเรื่องภาษี เรื่องอะไรทั้งหลาย แต่เมื่อทำแล้วก็ต้องมาคุยกับประชาชน ให้ประชาชนเข้าใจ ทำอะไรต้องฟังเสียงประชาชนด้วย และตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาดูว่าหากสหรัฐฯ เข้ามาจริงๆ แล้วเราจะมีเกราะป้องกันอย่างไร จะมีมาตรฐานอย่างไรในการให้เข้ามาทำเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ คือผมเห็นใจรัฐบาล แต่ติดใจนิดเดียวคือไม่บอกกัน เพราะมาเลเซียเขาบอกกับประชาชน เขาออกข่าวก่อนว่าจะไปเซ็นกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรื่องนี้ มาเลเซียเขาบอกหมด พอไม่บอกคนก็หงุดหงิด เพราะเป็นประเทศประชาธิปไตยต้องเปิดเผยโปร่งใส แต่คำว่าขายชาติ คงไม่ใช่อย่างนั้น อย่าไปว่าอย่างนั้นเลย"
ขั้นตอนการทำเหมืองแร่ ตามมาตรฐานสากล
ขณะเดียวกันพบว่าช่วงที่ผ่านมา "ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย" ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับเรื่องแร่หายาก และการทำเหมืองแร่และสกัดแร่หายากไว้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจเช่น ในการโพสต์เฟซบุ๊กหัวเรื่อง "ขั้นตอนการทำเหมืองแร่และสกัดแร่หายากตามมาตรฐานสากลเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม" ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า
...วิธีการทำเหมืองแร่ธาตุหายากตามมาตรฐานจะเริ่มจากการทำเหมืองแบบทั่วไป เช่นการทำเหมืองแบบเปิด (open-pit) หรือการทำเหมืองใต้ดิน (under ground) เพื่อสกัดแร่ จากนั้นจึงผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนในการบดหิน (crushing) และบดละเอียด (grinding) และการแยกแร่ (beneficiation) เพื่อรวมแร่ธาตุหายากเข้าด้วยกัน แร่ที่ได้จะถูกนำไปผ่านกระบวนการแยกด้วยสารเคมีและวิธีทางกายภาพ เช่น การลอยแร่ด้วยฟองอากาศ (froth flotation)การชะล้างด้วยกรดหรือด่าง (leaching) และการสกัดด้วยตัวทำละลาย (solvent extraction) เพื่อแยกทำให้ธาตุหายากแต่ละชนิดบริสุทธิ์ออกจากส่วนผสม
1.การทำเหมืองและการรวมแร่
การสกัด (Extraction): เริ่มต้นด้วยการทำเหมืองแบบทั่วไป โดยใช้การทำเหมืองแบบเปิดสำหรับแหล่งแร่ที่อยู่ตื้น หรือการทำเหมืองใต้ดินสำหรับแหล่งแร่ที่อยู่ลึก
2.การขนส่ง: แร่ที่ขุดได้จะถูกขนส่งไปยังโรงงานแปรรูปด้วยระบบปิด
3.การบดและบดละเอียด (Crushing and grinding): แร่จะถูกบดเป็นผงละเอียดเพื่อปลดปล่อยแร่ธาตุหายากออกจากหินรอบๆ จะต้องทำในระบบปิดและใช้อุปกรณ์ระบบกำจัดมลพิษทางอากาศที่มีประสิทธิภาพถึง 99%
4.การแยกแร่ (Beneficiation): ขั้นตอนนี้จะแยกแร่ธาตุหายากออกจากแร่ที่ไม่ใช่ธาตุหายาก มีวิธีการทั่วไปหลายแบบต้องทำในระบบปิด ได้แก่
4.1 การลอยแร่ด้วยฟองอากาศ (Froth flotation): เติมสารเคมีลงในกากแร่ที่บดแล้วจากนั้นเป่าฟองอากาศเข้าไป แร่ธาตุหายากจะเกาะกับฟองอากาศลอยขึ้นมา ขณะที่แร่ชนิดอื่นจมลง
4.2 การแยกด้วยแม่เหล็กและไฟฟ้าสถิต (Magnetic and electrostatic separation): ใช้วิธีการทางแม่เหล็กหรือไฟฟ้าเพื่อแยกอนุภาคแร่แต่ละชนิด
4.3 การชะล้าง (Leaching): นำแร่ธาตุหายากที่ได้มารวมกันมาละลายด้วยกรดหรือด่างเข้มข้น เพื่อละลายแร่ธาตุออกจากวัสดุอื่นๆ
4.4 การสกัดด้วยตัวทำละลาย (Solvent extraction): เป็นวิธีหลักในเชิงพาณิชย์สำหรับการแยกธาตุหายากแต่ละชนิด โดยใช้ตัวทำละลายอินทรีย์เพื่อดึงไอออนของแร่ธาตุหายากออกจากสารละลายที่เป็นน้ำ ทำให้แยกออกมาเป็นสายผลิตภัณฑ์แต่ละสายได้
5.การทำให้บริสุทธิ์ (Refining): ธาตุที่แยกได้จะถูกนำไปแปรรูปเพิ่มเติม เพื่อให้ได้สารประกอบที่มีความบริสุทธิ์สูง เช่นออกไซด์ โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การแยกด้วยไฟฟ้า (electrolysis) หรือการกลั่นด้วยสุญญากาศ (vacuum distillation)
6.โครงการต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียทางฟิสิกส์และเคมีบำบัดสารโลหะหนัก, มีระบบการเก็บกากตะกอนหางแร่และนำไปกำจัดอย่างปลอดภัย เช่นระบบฝังกลบอย่างปลอดภัย (Secured Landfill), ระบบป้องกันการปนเปื้อนลงน้ำใต้ดินและผิวดิน, ทำลายป่าไม้ให้น้อยที่สุด, ระบบป้องกันสารกัมมันตภาพรังสีจากแร่บางชนิด เช่น ยูเรเนียม ทอเรียม, ระบบป้องกันภัยพิบัติจากธรรมชาติ เป็นต้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
🛑LIVE วันนี้...เพื่อไทย ในวังวน 'ชินวัตร' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'อภิสิทธิ์' ลั่นต่อสู้ให้การเมืองกลับมาเป็นเรื่องความนิยมอุดมการณ์-นโยบายตัวบุคคล
หัวหน้าปชป. ไม่หวั่น อดีต สส. แห่ย้ายพรรค พร้อมส่ง สส.ชน ย้ำไม่มีใครผูกขาดคะแนนเสียง บอกหากวันเลือกตั้งต้องขยับ เนื่องจากเหตุสุดวิสัยเป็นเรื่องเข้าใจได้
ภูมิใจไทยปลุกพลังผู้สมัครสส. ชูสโลแกน 'พูดแล้วทำพลัส' ตั้งเป้าเกิน 200 ที่นั่ง!
แกนนำภูมิใจไทยกำชับว่าที่ผู้สมัคร สส.เดินเกมเลือกตั้งตามกติกา กกต. ชูผลงานรัฐบาลเป็นจุดขาย พร้อมปลุกใจหากทุ่มเทเต็มที่ มีลุ้นกวาดเกิน 200 ที่นั่ง มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีแนวโน้มคลี่คลายก่อนปีใหม่
เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1
"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย
ปชป. ชู 3 แกนหลัก การเมืองสุจริต ความเป็นมืออาชีพ ไว้วางใจได้ไม่มีดีลลับ
ปชป. ประกาศเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ชู 3 แกนหลัก สุจริต-มืออาชีพ-ไว้วางใจ พร้อมสะท้อนปัญหาหาดใหญ่ถึงรัฐบาล
🛑LIVE ดับฝัน..วันไร้นาย สังเวียนนี้ไม่มี..แลนด์สไลด์ | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568

