วัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ขับเคลื่อนเชิงรุก-ติดดาบสืบสวนคดี

สิ่งหนึ่งที่เราคิดไว้ในใจว่าถ้าเราเป็นอธิบดีเมื่อใดเราจะผลักดัน อันนี้คืองานที่สำคัญที่สุดคือ "เจ้าหน้าที่สืบสวน" เรื่องนี้คือสิ่งที่ขาดของอัยการสำนักงานการสอบสวน...เราไม่ได้ผลักดันอะไร แต่เราผลักดันให้มีคนที่มาช่วยเราในการทำหน้าที่สอบสวนให้บรรลุผล...ถ้ามีเจ้าหน้าที่สืบสวนจะทำให้การทำงานง่ายขึ้น คือรับคดีมาอัยการก็สอบเอง เราจะมีเจ้าหน้าที่ออกไปสืบสวน เพราะงานสอบสวนเราหนีงานสืบสวนไม่ออก เหมือนตำรวจทุกวันนี้ทำไมตำรวจเขาถึงค้าน หากจะมีการแยกงานสอบสวนไปให้คนอื่นทำ เพราะมันต้องอยู่คู่กันระหว่างงานสืบสวนกับสอบสวน หลักการต้องเป็นอย่างนี้ เช่นเดียวกันถ้าเราได้เจ้าหน้าที่สืบสวนเข้ามา จะทำให้การทำงานเดินหน้าไปได้...เรามานั่งเบอร์หนึ่งของสำนักงาน เราต้องทำอะไรที่เป็นรูปธรรมที่มากกว่างานรูทีน

“สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด" ถือได้ว่าเป็นหน่วยงานในสำนักงานอัยการสูงสุดที่น่าสนใจ เพราะมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับการสอบสวนคดีสำคัญ เช่น คดีความผิดนอกราชอาณาจักร, คดีกรณีมีผู้ยื่นคำร้องขอให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีล้มล้างการปกครองฯ ตามมาตรา 49 เพื่อนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหารพรรคที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ, การสอบสวนตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556, งานสอบสวนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เป็นต้น

ยิ่งเมื่อปัจจุบัน สำนักงานการสอบสวนมี “วัชรินทร์ ภาณุรัตน์” อัยการคุณภาพ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการสอบสวน-สั่งคดี เพราะมีประสบการณ์การทำคดีดังๆ มามากมายนับไม่ถ้วนเป็น "อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด" ก็ยิ่งทำให้การขับเคลื่อนงานของสำนักงานการสอบสวนน่าสนใจมากขึ้นไปอีก

"ไทยโพสต์" สัมภาษณ์พิเศษ “วัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด” เพื่อพูดคุยถึงเรื่องการทำหน้าที่โดยเฉพาะการขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ ของสำนักงานการสอบสวน

“วัชรินทร์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน" เริ่มต้นกล่าวถึงที่มาที่ไปของสำนักงานการสอบสวน และอำนาจหน้าที่ของอัยการในสำนักงานแห่งนี้ว่า เดิมทีก่อนจะมี สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุดในปัจจุบัน สำนักงานอัยการสูงสุดมีสำนักงานคดีพิเศษที่รับผิดชอบในเรื่องงานสอบสวนตั้งแต่ปี 2547 แต่ต่อมาผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุดเล็งเห็นว่า ควรจะแยกงานสอบสวนออกจากงานสั่งคดี คือเดิมทีสำนักงานคดีพิเศษ มีทั้งสอบสวนสั่งฟ้อง-สั่งไม่ฟ้อง และอัยการของสำนักคดีพิเศษก็ไปขึ้นว่าความในศาล ซึ่งสมัยนั้นอย่างตัวผมเองที่เคยอยู่สำนักงานคดีพิเศษก็ทำเองหมดทุกอย่าง แต่ต่อมาก็มีการแยกออกมาจากสำนักงานคดีพิเศษ มีการตั้งสำนักงานการสอบสวนหรือสำนักอัยการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อปี 2556 

...สำหรับสำนักงานการสอบสวน มีหน้าที่ความรับผิดชอบหลักๆ จะมี 6 ภารกิจ 

ภารกิจแรก ที่สำคัญที่สุดก็คือ "คดีนอกราชอาณาจักร" ซึ่งคดีนอกราชอาณาจักรหมายถึงคดีที่มีการทำกระทำความผิดในประเทศ-ต่างประเทศผสมกัน คือส่วนหนึ่งทำผิดในต่างประเทศ และอีกส่วนหนึ่งทำผิดในประเทศ ถือว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งคดีนอกราชอาณาจักรเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 อัยการสูงสุดจะมีอำนาจก็คือจะมอบให้พนักงานสอบสวนทำคดีฝ่ายเดียวหรือไม่ หรือจะมอบอัยการจากสำนักงานสอบสวนไปร่วมสอบสวน หรือให้อัยการสำนักงานสอบสวนทำเองเลย อันนี้เป็นภารกิจสำคัญ ก็คือเราสอบสวนเพื่อจะนำพยานหลักฐานเสนออัยการสูงสุด เพราะคนสั่งคดีนอกราชอาณาจักรมีผู้เดียวคืออัยการสูงสุด ไม่เหมือนคดีในราชอาณาจักรทั่วไป ที่เป็นตามกฎหมายว่าอัยการในพื้นที่ที่เกิดเหตุรับผิดชอบ

งานอันที่ 2 ของสำนักงานการสอบสวน จะเป็นงานที่ร่วมสอบสวนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ที่งานในส่วนนี้เริ่มทำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 โดยการเข้าร่วมสอบสวนของอัยการ ทางคณะกรรมการคดีพิเศษจะต้องดำเนินการตามมาตรา 32 ของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2557 คือต้องมีมติของคณะกรรมการฯ ว่าให้คดีที่อัยการจะเข้าร่วมสอบสวนเป็นคดีพิเศษและให้อัยการเข้าไปร่วมสอบสวน เพราะการทำคดีของดีเอสไอจะมีทั้งคดีที่ดีเอสไอเข้าไปสอบสวนทำคดีโดยอัตโนมัติ เช่นคดีเกี่ยวกับภาษีอากร คดีฟอกเงินที่มีมูลค่าทรัพย์สินเกิน 300 ล้านบาทขึ้นไป เป็นต้น คดีเหล่านี้ดีเอสไอรับคดีเข้าไปสอบสวนได้เลย แต่หากเป็นคดีพิเศษที่คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติให้อัยการร่วมสอบสวน ทางสำนักงานการสอบสวนก็จะส่งอัยการไปร่วมสอบสวนกับดีเอสไอ

ภารกิจเรื่องที่ 3 เป็นภารกิจตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 49 ที่ก็คือกรณีมีผู้มาร้องหรือกล่าวหา ว่ามีพรรคการเมืองหรือนักการเมือง มีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมาตรา 49 บัญญัติว่า ต้องยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดให้พิจารณา เมื่อยื่นมาแล้วอัยการสูงสุดก็จะพิจารณาว่าคำร้องดังกล่าวเป็นอย่างไร ยื่นมาถูกต้องหรือไม่ หากเห็นว่าคำร้องถูกต้องก็จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคการเมือง หรือมีคำวินิจฉัยลงโทษผู้ถูกร้อง ซึ่งเดิมทีอำนาจดังกล่าวเป็นของอัยการสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว คือหากอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็จบเลย แต่ต่อมาในการยกร่างรัฐธรรมนูญมีการแก้ไข โดยมองว่าหากอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องเรื่องก็จบ ซึ่งหากเกิดว่าประชาชนคนทั่วไปจะยื่นเรื่องจะต้องทำอย่างไร ทำให้มีการเขียนออกมาใหม่เพิ่มเติมว่า หากอัยการสูงสุดไม่มีความเห็น ไม่มีการยื่นเรื่องภายใน 15 วัน ผู้ร้องสามารถยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

ภารกิจที่ 4 เป็นภารกิจที่กรณีตำรวจไปวิสามัญคนร้ายจนเสียชีวิต จะต้องมีอัยการร่วมสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฯ ที่ให้มีอัยการไปร่วมทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ ทำสำนวนสอบสวนในกรณีวิสามัญฆาตกรรม

บทบาทอัยการสำนักงานสอบสวน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมาน

"วัชรินทร์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด" กล่าวต่อไปว่า ภารกิจที่ 5 เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือที่คนเรียกกันว่า "พ.ร.บ.ป้องกันการอุ้มหาย"

ภารกิจหลักของสำนักงานการสอบสวนถือว่าสำนักงานเป็นศูนย์กลาง ผมโดยหน้าที่ก็เหมือนเป็น ผอ.ศูนย์ฯ ที่เวลาตำรวจดีเอสไอหรือฝ่ายปกครอง หรือหน่วยงานต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตที่เป็นหน่วยจับ เมื่อจับผู้ต้องหาแล้ว จะต้องแจ้งการจับมาที่สำนักงานการสอบสวน เพราะกฎหมายบัญญัติให้ต้องแจ้ง หากไม่แจ้งจะถือว่าผิดกฎหมาย  เมื่อแจ้งมาแล้วเราจะตรวจสอบ ว่าการจับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องมีการถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอผู้ต้องหาทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้างมาให้สำนักงานการสอบสวน เมื่อส่งมาแล้ว สำนักงานฯ จะพิจารณาว่าทำโดยชอบหรือไม่ หากทำถูกต้องก็จบ ถ้าทำโดยไม่ชอบก็คือต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร

 หากพบว่ามีการซ้อมทรมานเกิดขึ้น คนที่ถูกจับมา ถ้าตัวเขายังอยู่ที่สถานีตำรวจ เราจะส่งอัยการที่เข้าเวรในขณะนั้นออกไปตรวจสอบ จะไปแจ้งว่าที่จับกุมมาดังกล่าวมันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะอะไร อย่างไร ซึ่งหากทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ยกเลิกการกระทำต่างๆ อันนี้คือกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า แต่หากเป็นกรณีผ่านพ้นไปแล้ว แต่ต่อมามีคนมาร้องเรียน เช่นคนในครอบครัวมาร้องเรียนว่าคนในครอบครัวโดนตำรวจซ้อมทำร้าย ก็จะเป็นคดีเกิดขึ้นมา คดีจะเข้ามาที่สำนักงานการสอบสวน โดยหากมาร้องทุกข์ที่สำนักงานการสอบสวน อัยการเรามีอำนาจสอบสวนเองได้เลย โดยเราใช้คำว่าพนักงานสอบสวนฝ่ายอัยการเป็นคนสอบสวน ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีหลายคดีที่คนมาร้องทุกข์กับสำนักงานการสอบสวนโดยตรง

แต่หากไม่ได้มาร้องทุกข์กับเรา ทาง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ให้หน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวนได้คือ 1.ตำรวจ 2.ฝ่ายปกครอง  3.ดีเอสไอ  และ 4.อัยการ โดยหากมีการไปร้องที่ตำรวจ-ดีเอสไอ หรือฝ่ายปกครอง กฎหมายออกแบบมาให้อัยการเข้าไปตรวจสอบ-ควบคุมกำกับการสอบสวน

...คดีที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ คดีเป้รักผู้การเท่าไหร่ให้จ่ายมา ที่เป็นเรื่องของอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ตำรวจรับเรื่องมา สำนักงานอัยการสูงสุดก็ส่งผมไปเป็นหัวหน้าในการไปตรวจสอบกำกับตำรวจ คดีที่ 2 ที่เห็นชัดๆ เลยคือ คดีลุงเปี๊ยกที่ สภ.อรัญประเทศ คดีนี้ดีเอสไอรับเรื่อง อัยการก็เข้าไปตรวจสอบกำกับ เป็นต้น

และภารกิจสุดท้ายที่เกี่ยวกับงานของสำนักงานการสอบสวนคือ คดีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 ที่แม้กฎหมายจะออกมาตั้งแต่ปี 2556 แต่ยังไม่มีรูปธรรม คือตั้งแต่ก่อนที่ผมจะมา ทุกคนก็จะไม่ทำงานในส่วนนี้เป็นแนวหน้าเชิงรุก แต่ปัจจุบันที่ผมมานั่งเป็นอธิบดีสำนักงานการสอบสวน ผมคิดว่างานในส่วนนี้เป็นงานสำคัญ แปลว่าอะไร สรุปง่ายๆ เป็นการทำผิดระหว่างรัฐ 2 รัฐ เช่นไทยกับลาว, ไทยกับกัมพูชา คือทำ 2 รัฐแล้วโทษจำคุก 4 ปีขึ้นไป เป็นอำนาจอัยการสูงสุดโดยตรงที่จะเข้าไปสอบสวนตาม พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว

...ต่อไปผมจะรุกงานตรงนี้ โดยอาจจะขอความร่วมมือจากประเทศจีน ที่เขาจะมาเยือนเรา เราจะทำตรงนี้คู่กับดีเอสไอ อย่างเรื่องสแกมเมอร์หรืออะไรก็ตามที่ดังอยู่ทุกวันนี้ ถือว่าเป็นไปตามพ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติ เพราะเป็นเรื่อง 2 ชาติและบทลงโทษเกิน 4 ปี มันก็เข้าตามกฎหมาย ตรงนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่สนใจจะทำ เพราะจริงๆ แล้วเป็นกฎหมายที่ให้อัยการไปสอบสวนได้เองเหมือนกัน  แต่ว่ารูปธรรมที่เห็นเด่นชัดไม่มี แต่ว่าในยุคผมจะเกิดขึ้น ที่จะทำตรงนี้เต็มที่ เพราะว่ามันเริ่มคดีที่เราได้ด้วย ทุกวันนี้เรานั่งรอตำรวจส่งมา แล้วบอกว่ามีเรื่องของ พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติฯ ด้วย มีความผิดข้อหาต่างๆ เราตามเขา แต่วันนี้เราจะเชิงรุก

เชิงรุกก็คือ หากเราเกิดเห็นว่าเรื่องนี้เราทำได้ เราจะหยิบมาทำเลย ก็เหมือนวันนี้ที่ใครก็ตามไปร้องทุกข์เรื่องคดีนอกราชอาณาจักรกับอัยการสูงสุด ทางอัยการสูงสุดรับเรื่องได้เลยแล้วส่งมาทางสำนักงานการสอบสวน อันนี้คือบทบาทของสำนักงานการสอบสวน ที่ถือว่าเป็นบทบาทของงานในงานอัยการที่ไม่เหมือนอัยการทั่วไป อัยการตั้งมา 132 ปี จะมีงานก็คือ สั่งฟ้อง-สั่งไม่ฟ้อง ที่อัยการเราเก่งอยู่แล้ว ไปว่าความ อันนี้คืองานหลักการ กับอีกอันหนึ่งคือรักษาผลประโยชน์ของรัฐ เช่นหน่วยงานราชการโดนฟ้อง อัยการเข้าไปช่วย หรือหน่วยงานราชการเสียหาย จะให้อัยการฟ้องหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คืออะไรก็ตามที่เป็นงบหลวง เป็นงบประมาณแผ่นดิน อัยการจะเข้าไปปกป้องงบประมาณแผ่นดิน เรียกว่ารักษาผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งปีหนึ่งๆ เป็นแสนล้านบาท แต่บางทีประชาชนไม่รู้ ไปคิดว่าใช้ทนายความซึ่งไม่ใช่ ใช้อัยการ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นอัยการที่อยู่สำนักงานคดีแพ่ง คดีแรงงาน คดีปกครอง 

และอีกส่วนหนึ่งเป็นงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เรามีสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี หรือ สคช. ทุกจังหวัดที่ตั้งอยู่ในตึกสำนักงานอัยการ ที่จะช่วยประชาชนที่ไม่มีเงินไปจ้างทนายก็มาหาเรา ทางอัยการก็เข้าไปช่วยเหลือ เช่นจัดการเรื่องมรดก เป็นงานที่เห็นชัดเจน หรือหากประชาชนมีข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ก็มาหาอัยการได้ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งหมดคือภารกิจหลักงานของอัยการ

แต่ภารกิจตรงนี้ผมว่ามันเป็นภารกิจใหม่และแปลก ไม่มีใครเหมือน ซึ่งหากดูการทำงานในระดับสากล พวกอัยการต่างประเทศอย่างที่เห็นเด่นชัด ที่สหรัฐอเมริกาที่มีบทบาทมากเพราะทุกเรื่องต้องผ่านอัยการหมด คดีแพ่งหรืออาญา ตำรวจที่ทำคดีต้องไปถามอัยการหมด หรืออัยการประเทศเกาหลีใต้ เห็นหรือไม่ อัยการจับประธานาธิบดีได้เพราะเขามีหน่วยสืบสวนสอบสวนของเขาเอง ที่ผมเคยไปร่วมสอบกับเขา ได้เคยดูการทำงานของอัยการเกาหลีใต้ ผมเห็นเลยว่าจะเป็นโมเดลแบบไทย เพราะเกาหลีใต้ก็เป็นประเทศในทวีปเอเชีย ทำไมเกาหลีทำได้ ในกรุงโซลมีคนนั่งอยู่ในสำนักงานอัยการกรุงโซล 5 พันคน แบ่งเป็นอัยการและเจ้าหน้าที่สืบสวน อัยการเกาหลีจะมีลูกน้องทำหน้าที่ด้านสืบสวน มีหน่วยกำลังของตัวเอง เขามีอำนาจมากมาย รวมถึงญี่ปุ่นก็เช่นกัน

ติดดาบอัยการสำนักงานสอบสวน ต้องมีทีมเจ้าหน้าที่สืบสวน 

-หลังเข้ารับตำแหน่งอธิบดีสำนักงานการสอบสวนมาได้ร่วมหนึ่งเดือนเศษ หลังจากนี้มีนโยบายที่จะเข้าไปขับเคลื่อนอะไรบ้าง?

หนึ่งเดือนที่ผมมานั่งตรงนี้ ผมเปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่าง งานด้านบุคคล เอกสาร ด้านอาคาร เราเปลี่ยนแปลงเยอะ เช่น ทำป้ายใหม่ ทำห้องประชุมใหม่ที่ก็เป็นเรื่องปกติรูทีน ที่ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเราทำอะไรไปกับตรงนี้ แต่อยากจะบอกว่าเราพัฒนาทุกเรื่อง

โดยเฉพาะสิ่งหนึ่งที่เราคิดไว้ในใจ ว่าถ้าเราเป็นอธิบดีเมื่อไหร่เราจะผลักดัน อันนี้คืองานที่สำคัญที่สุดคือ "เจ้าหน้าที่สืบสวน" ส่วนจะใช้คำในกฎหมาย ก็มีคนบอกว่าต้องใช้คำว่าเจ้าพนักงานคดี เพราะกฎหมายของอัยการเขียนว่าให้มีนิติกร มีเจ้าพนักงานคดี แต่ผมก็จะบอกว่าเจ้าพนักงานคดีวงเล็บทำหน้าที่สืบสวน เรียกสั้นๆ ว่าเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวน เพราะว่าเรามอบหมายให้อัยการสำนักงานการสอบสวน ทำเรื่องการสอบสวน แต่เราไม่ให้คนที่ทำหน้าที่ในการสืบสวนจับกุมตรวจค้นเลย นึกภาพออกหรือไม่ อย่างตำรวจถ้าเราเดินไปสถานีตำรวจ จะเห็นว่ามีการแบ่งสายงานต่างๆ ยกตัวอย่างงานสอบสวนของตำรวจ จะสำเร็จได้ก็ต้องมีนักสืบ มีรองสารวัตรสืบสวน มีฝ่ายที่ทำหน้าที่ไปจับกุมคนร้าย คือ สวป.(สารวัตรป้องกันปราบปราม) ไปคอยจับผู้ร้ายให้ฝ่ายสอบสวนไปดำเนินการ ซึ่งพนักงานสอบสวนก็มีลูกน้องในการไปขอหมายค้นหมายจับ

...แต่ในขณะเดียวกันพอเราหันกลับมาดูอัยการสอบสวน ให้แต่งานสอบสวน แต่เจ้าหน้าที่เหล่านี้อยู่ที่ไหน เหลียวซ้ายแลขวาก็จะมีแค่นิติกรซึ่งส่วนใหญ่ 90% เป็นผู้หญิง อีก 10% เป็นผู้ชาย เราเคยให้ผู้ชาย 10% ดังกล่าวที่เป็นนิติกรหรือเจ้าพนักงานคดีที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายหรือเสนอเรื่องเกี่ยวกับการสั่งคดี ก็เป็นงานด้านเอกสาร งานด้านกฎหมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้เขาจะเก่งแม่นกฎหมาย แต่เมื่อบอกให้ไปสืบสวนอะไรต่างๆ ก็จะไม่ได้ หรือแม้กระทั่งเรารู้เลยคนร้ายหลบซ่อนตัวตรงจุดไหน ไปตรวจค้นกันหรือไม่ ก็ยังไม่ได้ หรือรู้แหล่งแล้วไปขอหมายจับก็ทำไม่ได้   เรื่องนี้คือสิ่งที่ขาดของอัยการสำนักงานการสอบสวน ที่ผมพยายามผลักดัน

เราไม่ได้ผลักดันอะไร แต่เราผลักดันให้คนที่มาทำหน้าที่ในการช่วยเรา ในการทำหน้าที่สอบสวนให้บรรลุผล เราติดปัญหาตัวนี้จริงๆ เราไม่มีหน่วยกำลัง เราไม่มีใครกล้าไปจับกุมผู้ร้ายตามหมายจับที่เราเป็นคนขอ เราไม่มีคนที่เข้าไปในบ้านไปค้นกับเรา แล้วเราทำไง เราต้องไปยืมจมูกหน่วยงานข้างเคียง เช่น ตำรวจ ดีเอสไอให้มาช่วย ทั้งที่จริงๆ เมื่อสร้างสำนักงานการสอบสวนขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สอบสวน ก็ต้องสร้างเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่สืบสวนจับกุมให้อัยการเราถูกไหม

เรื่องนี้มีการทำเรื่องขอไปแล้ว โดยคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) มีมติให้เรามีเจ้าหน้าที่สืบสวน 53 คน แต่การผลักดัน มีคนมาขอสมัครเต็มเลย แต่ว่าได้พับเสื่อไปเลยว่ายังไม่เรียบร้อย คือยื่นไปสมัครไว้เป็นปี มันแล้วแต่นโยบายผู้บริหารแต่ละคนด้วยว่าจะรับโอนหรือยังไง ซึ่งตอนนี้กำลังจะทำเรื่องขึ้นไปใหม่

อันดับแรกเราขอโอนจากคนที่ทำงานเป็นเลย เช่น ตำรวจ ทหาร ดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงาน ปปง. หรืออะไรก็ได้ ที่เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ดังนี้ที่เข้ามาก็ทำได้เลย เหมือนดีเอสไอ ตอนเริ่มต้นตั้งสำนักงานเมื่อปี 2545-2546 ก็ใช้วิธีรับโอน จนตอนนี้มีหน่วยกำลังเรียบร้อย มีหน่วยคอมมานโด แต่เราไม่ต้องการขนาดนั้น เพราะเราไม่ได้ไปสู้รบกับใคร เราต้องการแค่ไปจับผู้ร้ายให้เรา ต้องการให้ไปค้นกับเรา ตรงนี้คือสิ่งที่เราต้องการ เพราะเราไม่มีจริงๆ เราขาดตรงนี้ เพราะสิ่งที่เราจะทำเช่นอย่าง คดีนอกราชอาณาจักรที่อัยการสูงสุดมอบให้สำนักงานการสอบสวน เราก็ขาดคนที่จะไปสืบสวนสอบสวนกับเรา หรือเรื่องคดีตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ที่มีคนมาร้องทุกข์กับเรา เราเป็นพนักงานสอบสวนฝ่ายอัยการแต่เราขาดคนช่วย แต่ถ้าเราไปตรวจสอบกำกับ เราไม่กลัว เพราะตรวจสอบกำกับ ตำรวจเขามีกำลัง

อย่าง "คดีเป้รักผู้การเท่าไหร่ เป้เขียนมา” ตำรวจตั้งมา 100 คน ผมตั้งอัยการเข้าไป 10 คน ก็สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เพราะตำรวจมีหน่วยกำลังไปสืบสวน ไปค้นอะไรต่างๆ อัยการเราแค่กำกับตรวจสอบ แต่เราลองมองกลับกัน เราไปตรวจสอบกำกับคดีกับดีเอสไอ ทางดีเอสไอมีหน่วยกำลัง มีหน่วยตรวจสอบ-หน่วยค้น-หน่วยออกหมายจับ แต่หันมาดูเรา เราขาดตรงนี้ ซึ่งผู้ใหญ่เริ่มเห็นภาพ ว่าให้อำนาจการสอบสวน แต่ไม่ได้ให้คนที่มาช่วยงานตรงนี้แล้วจะสำเร็จอย่างไร

ตอนนี้กำลังจะเสนอเรื่องขึ้นไปใหม่ คิดว่าผู้บริหารในยุคปัจจุบันน่าจะเข้าใจ โดยเฉพาะท่านอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน  ท่านอิทธิพร แก้วทิพย์ โดยหลังจากนี้ก็จะรีบนำเสนอเรื่องของเจ้าหน้าที่สืบสวนขึ้นไป ซึ่งถ้ามีการอนุมัติลงมา อันดับแรกเลยก็จะใช้วิธีการรับโอนก่อนเพื่อให้เข้าทำงานได้เลย พอโอนมาจนงานเข้มแข็งแล้ว จากนั้นค่อยเปิดรับสมัครโดยการสอบคัดเลือกหรืออะไรก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง 

-หากสำนักงานการสอบสวน มีเจ้าหน้าที่สืบสวน จะทำให้การทำงานของสำนักงานการสอบสวนเป็นอย่างไร?

ถ้ามีเจ้าหน้าที่สืบสวนจะทำให้การทำงานง่ายขึ้น คือรับคดีมาอัยการก็สอบเอง เราจะมีเจ้าหน้าที่ออกไปสืบสวนเพราะงานสอบสวนเราหนีงานสืบสวนไม่ออก เหมือนตำรวจทุกวันนี้ทำไมตำรวจเขาถึงค้าน หากจะมีการแยกงานสอบสวนไปให้คนอื่นทำ เพราะมันต้องอยู่คู่กันระหว่างงานสืบสวนกับสอบสวน หลักการต้องเป็นอย่างนี้ เช่นเดียวกันถ้าเกิดเราได้เจ้าหน้าที่สืบสวนเข้ามา จะทำให้การทำงานเดินหน้าไปได้กับการทำงานสอบสวน เช่นมีคดีเข้ามาก็ให้เจ้าหน้าที่ไปสืบสวน ไปหาพยานหลักฐานว่าอยู่ตรงไหน ให้เขาช่วยหามาให้  หรือจำเป็นต้องเข้าไปค้น เราก็ไปขอหมายค้น แล้วอัยการเข้าไปค้นกับเจ้าหน้าที่สืบสวน

ร้องยุบพรรคการเมือง-คดีล้มล้างหลักานต้องชัด-การเมืองกดดันไม่ได้  

-เรื่องคำร้องกรณีมีผู้ร้องขอให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 49 เรื่องข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองฯ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเชิงการเมือง การทำงานของอัยการหนักใจหรือมีความกดดันหรือไม่ และมีหลักการพิจารณาเรื่องที่ร้องมาอย่างไร?

หลักการของอัยการเราเป็นแบบนี้ คำร้องที่คนยื่นเรื่องมา เราต้องพิจารณาทุกคำร้องเลย เช่นที่มีการมาร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อเร็วๆ นี้ และทางศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องไปแล้ว แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ อัยการเรายังต้องมานั่งพิจารณากัน เพราะเราต้องทำให้สะเด็ดน้ำ คือหมายความว่าเรารับคำร้องเข้ามาแล้ว เราก็ต้องมีการสอบ ซึ่งบางทีการสอบพยานต้องใช้เวลา แต่กฎหมายให้เวลาเราแค่ 15 วัน มันไม่ทัน ถ้า 15 วันเนี่ย บุรุษไปรษณีย์เลย เช่นมาร้องเราปุ๊บ เรายื่นภายใน 15 วัน แต่หากหลักฐานไม่ชัดเจนเราจะไปยื่นอย่างไร เราต้องแสวงหาหลักฐานตรงนี้ก่อน

เพราะฉะนั้นถามว่าเรากังวลใจหรือไม่ เราไม่กังวลใจ ถ้าเราอยู่ภายใต้พยานหลักฐาน อย่างล่าสุดที่ผ่านมาก็เป็นคดีดัง  ซึ่งพูดได้เพราะคดีจบแล้ว คือการร้องเรื่องนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ทำข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน มีการร้องว่าเข้าข่ายมาตรา 49 ร้องให้มีการยื่นยุบพรรคการเมือง เรามาพิจารณา ที่หากเราเขวหรือเรากังวลจะตัดสินตรงนี้ลำบาก เราจะตอบเขายาก เพราะผู้ร้องสามารถขอคำสั่งที่เราไม่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ด้วย เพื่อดูว่าการที่อัยการสูงสุดไม่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 ด้วยเหตุผลใด แล้วเขาจะเอาเหตุผลดังกล่าวไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญเอง

            เราจึงต้องทำให้ผู้ร้อง สังคมและประชาชนเชื่อมั่นว่า  อัยการสูงสุดจะยื่นคำร้องมาตรา 49 ต่อเมื่อมีหลักฐานชัดเจนที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ถ้าหลักฐานไม่ชัดเราก็จะไม่ยื่น  เราก็จะสรุปว่าเราไม่ยื่นเพราะอะไร อันนี้เราจะจะเรียกพยานมาสอบด้วย

ที่ผ่านมาใครต่อใครมาร้อง ไม่ใช่ยื่นกระดาษมาใบเดียวแล้วเรายื่นเรื่องเลย แต่ต้องเรียกตัวคนร้องมาสอบมีหลักฐานอะไรยังไง เราประชุมกันเลย บางคดีนี้ถึงขนาดต้องไปถามความเห็นนักวิชาการว่าอย่างนี้มันเข้าข่ายหรือไม่ คือหลักฐานอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อคดี เราเอาเข้ามาในสำนวน แล้วเราก็จะทำเรื่องเรียนเสนออัยการสูงสุด ทางอัยการสูงสุดก็จะเห็นตามแนวทาง เพราะคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 อัยการสูงสุดจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิเศษเพื่อพิจารณา ที่จะมีรองอัยการสูงสุดเป็นประธาน มีผู้ตรวจการอัยการและมีผมที่เป็นอธิบดีอัยการสำนักงานสอบสวน พิจารณาร่วมกันในรูปแบบคณะทำงาน

คดีนอกราชอาณาจักร กับเคสคลิปเสียง ฮุน เซน 

-เรื่องการสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักร สำนักงานการสอบสวนมีวิธีการทำงานอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่นคดีเรื่องคลิปเสียงฮุน เซน ให้เห็นภาพการทำงาน?

คดีนอกราชอาณาจักร เป็นคดีที่เป็นหัวใจสำคัญของสำนักงานการสอบสวน แล้วเป็นการทำงานแทนอัยการสูงสุด  เพราะคนสั่งคดีคืออัยการสูงสุด

ถ้าเราได้รับมอบหมายให้เข้าไปกำกับโดยการไปร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะตำรวจหรือดีเอสไอ  แล้วแต่ว่าสำนวนมาจากไหน ซึ่งตามกฎหมายที่เขาออกแบบไว้ค่อนข้างดี ก็คือให้อัยการออกคำสั่งได้ ให้เราให้คำแนะนำในเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐานได้ แสดงว่าคดีนอกราช

ส่วนว่ามีความยากหรือไม่สำหรับคดีคลิปเสียงฮุน เซน  ก็ต้องบอกว่ายากพอสมควร เนื่องจากว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในประเทศไทย เขาอยู่ต่างประเทศ ทีนี้เราต้องแสดงให้เห็นว่า ฮุน เซน ถึงแม้บางคนจะอ้างว่าเขาจะมีเอกสิทธิ์หรือไม่ สำหรับ ฮุน เซน - ฮุน มาเนต แต่เราต้องมองว่า ฮุน มาเนต เป็นนายกฯ แต่ฮุน เซน ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นเราต้องสอบสวนให้ได้ความแน่ชัดว่าเขาทำผิดหรือไม่ พอได้ความแน่ชัดว่าเขาทำผิดในความผิดที่มันเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แล้วผลมันเกิดในไทย

ผมยกตัวอย่างขณะนี้คดีคลิปเสียงของอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่คุยกับ ฮุน เซน ก็มีคนมาไปแจ้งความดำเนินคดี (นายสมคิด เชื้อคง อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) จากนั้นตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ก็มาร่วมทำคดีกับอัยการ เราให้ตำรวจไปสอบโดยอัยการไปร่วมสอบ เราต้องสอบให้ได้ความว่าการที่เขาปล่อยคลิปเสียง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างไรหรือไม่ ตามประมวลอาญา มาตรา 116 เราก็ต้องสอบสวนจนเสร็จ หากได้ความว่าผิดเราก็ต้องไปขอหมายจับศาลอาญา แล้วก็เสนอสำนวนให้อัยการศาลสูงสุดพิจารณาว่าฟ้องหรือไม่เพราะอยู่ในอำนาจอัยการสูงสุดแต่ผู้เดียว

หรืออย่างคดีที่มีการกล่าวหา ว่ามีการฆ่าอดีตผู้นำฝ่ายค้าน (กัมพูชา) ซึ่งเหตุเกิดที่ สน.ชนะสงคราม ก็มีการกล่าวหากัน โดยทางนายรังสิมันต์ โรม ร้องว่ายังไม่ได้มีการดำเนินคดีกับฮุน เซน ก็ได้ความจากที่นายรังสิมันต์ โรม ร้องมาว่า ฮุน เซน โทร.มาสั่งการอะไรก็ตาม แบบนี้ก็เป็นหน้าที่เรา ถ้าเรารับเป็นเรื่องนอกราชอาณาจักรก็ต้องไปสืบสวนสอบสวน  แล้วกรรมวิธีสุดท้ายคือหมายจับ เราต้องยอมรับว่าเป็นอำนาจของศาลอาญา เพราะคดีนอกราชอาณาจักรเราจะไปขอหมายจับที่ศาลอาญา ก็อยู่ที่ท่านอธิบดีศาลอาญาจะเห็นด้วยหรือไม่ ในการออกหมายจับ ถ้าออกหมายจับได้ก็ดำเนินคดีอย่างไร ซึ่งการจะไปเอาตัวเขาเข้ามามันก็เป็นเรื่องยาก

แต่สิ่งที่เราจะกระทำได้ก็คือมันจะกลายเป็นว่ามีหมายจับเขาได้ ถ้าหมายจับออกได้ เราจะนำหมายจับดังกล่าวเป็นหมายแดงในอนาคตที่เขาเรียกว่า Red Notice เป็นการออกหมายจับเป็นหมายสากล โดยประสาน INTERPOL (ตำรวจสากล) เขาอาจจะลำบากในการเดินทาง เช่นว่า การเดินทางเข้าไปประเทศอื่นจะไม่สะดวกสบาย อาจจะไปแล้วอาจจะโดนตำรวจสากลจับก็ได้ แต่ถ้าเกิดเขากลัวก็ต้องโดนขึงพืดอยู่ในประเทศกัมพูชาของเขา อันนี้สิ่งที่เราคิด

            เราเคยถกกันตั้งหลายคณะโดยเฉพาะชุดของความมั่นคง บางคนมองว่าจับไม่ได้ ดำเนินคดีเขาไม่ได้ เพราะเป็นผู้นำประเทศและมีเอกสิทธิ์และจะไปเอาตัวเข้ามายังไง ทีนี้ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ อย่างยกตัวอย่างง่ายๆ ระเบิดที่ยิงเข้ามามีคนตาย คนบาดเจ็บ มีทรัพย์สินเสียหาย ถ้าเราคิดแบบนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย จะเท่ากับเราไม่ได้ทำอะไรเลย เราต้องทำก่อนจนถึงที่สุด แล้วทางศาลอาญาจะเห็นด้วยกับเราหรือไม่ในการออกหมายจับ ถูกหรือไม่ ถ้าเป็นหมายจับได้เมื่อใด ก็จะแปลงเป็นหมายแดงได้ในอนาคต และเราจะเชื่อไหมว่าฮุน เซน กับฮุน มาเนต จะอยู่ยงคงกระพันยาวไหม เพราะอายุความคดีพวกนี้อายุความเยอะ  เช่นคดีบางเรื่องอายุความถึง 20 ปี ระหว่างนั้นเขาอาจจะไม่ได้เป็นผู้นำก็ได้ เราก็ดำเนินคดีได้

ก็คือเรา เรามองแบบนี้ ภายใต้กฎหมายไทยไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ถ้าทำผิดกฎหมายไทย แล้วกฎหมายนั้นให้อำนาจเรา โดยประมวลกฎหมายอาญาวางหลักเกณฑ์ไว้ว่า ความผิดแม้จะเกิดนอกประเทศ แต่สามารถลงโทษในบ้านเราได้ หรือความผิดส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำผิดที่ต่างประเทศแต่เกิดผลในไทย เราสามารถเอาเขามาดำเนินคดีได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณต้องอยู่ภายใต้กฎหมายตรงนี้ คุณมาละเมิดเรา คุณมาทำต่อกฎหมายไทย แม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเราต้องทำไว้ก่อน โดยหากศาลอาญาท่านออกหมายจับ อย่างหากเข้ามาเมืองไทยก็โดน หรือหากไม่มาเมืองไทยแต่ไปประเทศอื่นก็เสี่ยงภัย กำลังเดินอยู่ตำรวจอินเตอร์โพลก็จับได้หมด

อย่างบางคนหนีไปไกล โดยทำผิดกฎหมายไทย ยกตัวอย่างเช่นนายราเกซ สักเสนา (ผู้ต้องหาคดีธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ) ก็ยังไปตามจับมา ก็เป็นหน้าที่ของอัยการสำนักงานต่างประเทศ ที่จะประสานอัยการที่ต่างประเทศเพื่อนำตัวข้ามแดนส่งกลับมา หรืออย่างล่าสุดอดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่หนีคดีไปอยู่สหรัฐอเมริกา เราก็ตามกลับมาได้ เป็นเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

สำหรับเรื่องคดีคลิปเสียง ตอนนี้ก็ใกล้จะสรุปสำนวนแล้ว  ทางอัยการที่อยู่ในคณะทำงานประสานตำรวจไซเบอร์แล้ว เร็วๆ นี้จะจบ ประเด็นของเรื่องนี้คือเผยแพร่คลิปมาแล้วทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อประชาชนคนไทยหรือไม่ เข้าประมวลกฎหมาย มาตรา 116 กับพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ หรือไม่ หากเข้าแล้วใครนำเผยแพร่ก็ถูกดำเนินคดีไป

 -ฟังจากที่กล่าว ดูเหมือนจะเน้นการทำงานที่เป็นนโยบายเชิงรุก?

 ใช่ จะออกในรูปแบบนี้เลย เรามานั่งเบอร์หนึ่งของสำนักงาน เราต้องทำอะไรที่เป็นรูปธรรม ที่มากกว่างานรูทีน ที่ผ่านมาทำไมชาวบ้านไม่รู้ว่าอัยการสอบสวนคืออะไร แต่ทำไมวันนี้อัยการสำนักงานสอบสวนเป็นที่กล่าวขวัญของไม่ว่าจะคนที่เป็นอัยการหรือประชาชน เริ่มเห็นภาพแล้วว่าอัยการสอบสวนมีอำนาจหน้าที่อย่างไร สำนักข่าวต่างๆ เริ่มใส่ใจกับสำนักงานอัยการสอบสวน ประชาชนเริ่มเห็นภาพแล้วว่าอัยการสำนักงานแห่งนี้คือทำเชิงรุก

-ประสบการณ์จากเคยไปศึกษาอบรมหลักสูตรเอฟบีไอที่สหรัฐอเมริกา นำมาใช้กับการเป็นอธิบดีสำนักงานการสอบสวนได้เป็นอย่างดี?

แน่นอนเลยครับ ที่ผมไปอบรมที่เอฟบีไอ เป็นประสบการณ์ชีวิตโดยตรง ที่ได้เห็นการทำงานรูปแบบของเขาแล้ว ผมชอบมากเลยสองเรื่อง เรื่องแรกคือการทำงานเป็นทีม เอฟบีไอไม่มีใครเก่งกว่าใคร ทุกคนจะเป็นทีมเวิร์ก ทีมจะต้องประชุมหารือในการวางแผนเตรียมคดี ตรงนี้ก็นำมาใช้  วันนี้เราตั้งทีม หากเป็นคดีใหญ่ก็จะมีทีมแล้วมีหัวหน้าทีมลงไป เช่นรองอธิบดีลงไปคุม แล้วคัดคนที่มีฝีมือในด้านนั้นไปอยู่ในทีม อันนี้คือที่เอาเขามาเรื่องการทำงานเป็นทีม

เรื่องที่สอง คือเรื่องการทำงานภายใต้พยานหลักฐาน ซึ่งเอฟบีไอถ้าหลักฐานไม่ชัดเขาไม่เอา ผมก็ได้บอกกับอัยการที่อยู่กับผมทุกคนว่า เราไม่เต้นไปตามเขา ถ้าเขามาสอบสวนโดยเราเข้าไปคุมเขา เราจะไม่อนุมัติง่ายๆ เช่นจับใคร หรือไปค้นใคร ต้องดูหลักฐาน คือเราต้องยอมรับบางหน่วยเขาอาศัยตรงนี้ ไปค้นเพื่อเป็นข่าว จับเพื่อเป็นข่าว เราไม่เอา    สไตล์ผม ผมสอบสวนกับดีเอสไอหรือตำรวจ จะบอกเขาเลยว่าการจับก็คือการปิดคดี คือต้องสอบมาให้ได้ความชัดเจนว่าหลักฐานชัดจึงจะไปออกหมายจับ แล้วไปเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา นั่นคือใกล้ปิดคดีเพราะเราจะไม่แสวงหาพยานหลักฐานจากตัวผู้ต้องหา

ในอดีตที่ผ่านมาบางหน่วยอาศัยผู้ต้องหา เช่นจับแล้วนำมาซ้อมให้สารภาพ ไม่มีหลักฐานเลย พอคดีขึ้นศาลไปก็หลุด  แล้ววันนี้ยิ่งทำไม่ได้ด้วยเพราะมีกฎหมายป้องกันการซ้อมทรมาน

เพราะฉะนั้นสไตล์การทำงาน จากที่ผมเคยทำงานกับดีเอสไอ ผมจะบอกเลยถ้าผมไปสอบ ต้องสอบให้ครบ หลักฐานชัดถึงค่อยไปออกหมายจับ จับแล้วก็แจ้งข้อหาและห้ามไปแสวงหาพยานหลักฐานจากตัวเขา เราต้องมีพยานหลักฐานจากฝ่ายเรา จุดนี้คือสิ่งที่ทำมาตลอด จนมาเป็นทฤษฎี วันนี้ก็บอกทุกคนว่า ไม่เร่งไม่รีบ เพราะเอฟบีไอบางทีเป็น 10 ปีกว่าเขาจะได้พยานหลักฐานมา จะไปเร่งรีบเพื่ออะไร เร่งรีบไปแล้วถึงเวลาคดีขึ้นไปข้างบน สืบพยานศาลยกฟ้อง การยกฟ้อง ฟ้องใหม่ไม่ได้แล้ว แต่การสอบสวนใช้เวลานานเท่าใดก็ได้ แต่ขอให้มีพยานหลักฐานที่เชื่อว่าเขาทำผิดจริง ในขณะเดียวกันเราต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาด้วย หากเราสอบสวนแล้วเขาไม่ผิด เราก็ต้องสั่งไม่ฟ้อง เรากล้าที่จะเสนอหลักฐานส่งอัยการสูงสุดว่าเรื่องนี้ไม่ผิด เราไปสอบสวนแล้วแม้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร เราว่าไม่ผิดก็ต้องสั่งไม่ฟ้อง นี่คือภารกิจของสำนักงานอัยการสอบสวนภายใต้คนชื่อวัชรินทร์.

โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้