
ใครที่รู้ภาษาอังกฤษ ก็จะรู้ว่า Progress แปลว่า ‘ก้าวหน้า’
และคำว่า ก้าวหน้า ก็มักจะถูกให้ค่าในแง่บวก
จริงๆ แล้ว Progress มันมีความหมายตรงตัวเลย นั่นคือ ก้าวไปข้างหน้า หรือก้าวต่อไปในทิศทางที่ไม่ใช่ด้านหลัง และถ้าคิดให้ดีๆ การก้าวไปข้างหน้าไม่จำเป็นต้องดีหรือเจริญเสมอไป แม้กระทั่งการทำงานหรือเขียนวิทยานิพนธ์ที่เขียนไปได้เรื่อยๆ ก็มักใช้สำนวนว่า ‘Work in Progress’ ซึ่งไม่จำเป็นว่างานหรือวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นจะต้องดี เพียงแต่เมื่องานก้าวหน้า ก็หมายความว่ามันเพิ่มจำนวนปริมาณไปได้เรื่อยๆ ส่วนจะเพิ่มคุณภาพด้วยหรือไม่นั้น ก็ไม่แน่เสมอไป ขณะเดียวกัน นัยของคุณภาพก็มีปัญหาอีกว่า เอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด เพราะกลุ่มอาชญากรค้ายาเสพติดที่กำลังดำเนินการไปได้เรื่อยๆ ตามแผนที่วางไว้ อาจจะเรียกว่างานกำลังเดินก้าวหน้าทั้งปริมาณและคุณภาพก็ได้
การคิดค้นทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน จะตีความว่าก้าวหน้าหรือไม่ ดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้วัด
สิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ ‘ก้าวหน้า’ อย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบันอาจจะนำพาให้มนุษย์ตกต่ำ ลดทอนความเป็นมนุษย์ หรือลดทอนความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยแน่นแฟ้นอบอุ่นลงไป
จริงอยู่ มนุษย์อาจจะมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น อย่างที่เขาใช้คำว่า ‘ปัจเจกบุคคลนิยม’ (Individualism) มนุษย์เป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพราะเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกให้ การทำนาในปัจจุบันไม่ต้องพึ่งพาการลงแขก เพราะรถไถรถหว่านจัดการให้เสร็จ ขอให้มีรถหรือมีเงินจ้างเท่านั้น แม้มนุษย์จะอิสระจากมนุษย์ด้วยกันเองมากขึ้น หรือแทบจะไม่ต้องพึ่งกันเลยก็ตาม แต่เทคโนโลยีกลับทำให้มนุษย์ต้องพึ่งพาระบบเทคโนโลยีมากขึ้น และอาจมากกว่าที่เคยต้องพึ่งพามนุษย์ด้วยกันเองก็ได้ ที่สำคัญคือ การพึ่งพามนุษย์ด้วยกันยังสามารถต่อรองกันได้ แต่การพึ่งหรือเป็นทาสเทคโนโลยีนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครสามารถต่อรองกับมันได้เลย
การต่อรองไม่ได้หมายถึงมีมาตรฐานเดียว ซึ่งจะมองให้ดีก็ได้ มองให้แย่ก็ได้อีกเช่นกัน แต่การต่อรองกันและกันระหว่างมนุษย์ มนุษย์คนหนึ่งอาจจะเกิดความสงสารเห็นใจมนุษย์คนหนึ่งได้ ทำให้เกิดสองมาตรฐาน ซึ่งก็เช่นเดียวกัน มันมีทั้งแง่ดีและไม่ดี
การที่มนุษย์มีสองมาตรฐาน บ่งบอกถึงความอ่อนไหวในการรับรู้ถึงสภาวะเฉพาะของมนุษย์คนอื่น ขณะเดียวกัน มนุษย์ที่อ่อนไหวและมีสองมาตรฐานก็แสดงให้เห็นถึงสภาวะเฉพาะของความเป็นมนุษย์ของเขาผู้นั้นที่แตกต่างจากมนุษย์คนอื่น แต่จะดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าสองมาตรฐานนั้นก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะยุติธรรมหรืออยุติธรรม ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มันแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีไม่สามารถมีให้ได้
จากประเด็นข้างต้น ทำให้นึกถึงข้อถกเถียงที่นักคิดสมัยโบราณเคยตั้งขึ้นมาระหว่างปัญหาความยุติธรรมที่อยู่ภายใต้การตัดสินของ ‘คนที่ดีที่สุด’ กับ ‘กฎที่ดีที่สุด’ ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน
ถ้าพิจารณาในกรณีของคนและกฎ โดยยังไม่ต้องพูดถึงคนที่ดีที่สุดหรือกฎที่ดีที่สุด จะพบว่า คนย่อมดีกว่าตรงที่ยืดหยุ่นได้ ไม่ตายตัวเถรตรงเหมือนกฎ แต่ในกรณีของกฎ กฎย่อมดีกว่าคน ตรงที่กฎไม่เคยหวั่นไหว และรับสินบนไม่เป็น
แต่กระนั้น ถ้ากลัวความอ่อนไหวยืดหยุ่นของคน ก็ต้องกลัวความตายตัวของกฎด้วย
ถ้าในกรณีของคนที่ดีที่สุดกับกฎที่ดีที่สุดล่ะ? อันไหนจะให้ความยุติธรรมได้ดีกว่ากัน
กฎที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร? กฎที่ดีที่สุดน่าจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ถูกออกแบบให้ครอบคลุมกรณีต่างๆ หรือกรณียกเว้น ได้แก่ ความแตกต่างของบทลงโทษระหว่างหญิงหม้ายยากจนลูกสามขโมยขนมปังจากร้านค้า กับเศรษฐีนีขโมยขนมปังจากร้านค้า แต่การออกแบบให้ครอบคลุมทุกกรณีน่าจะเป็นเรื่องยาก
คนที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร? คนที่ดีที่สุดน่าจะได้แก่คนที่มีปัญญาคิดได้รอบด้าน คิดได้เอง มีคุณธรรม สามารถคิดให้ทัน และเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปได้ ที่สำคัญ คนที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นคนที่ใช้และตีความกฎที่ดีที่สุดได้ดีกว่าคนที่ด้อยปัญญาและคุณธรรม และคนที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นคนที่สามารถใช้และตีความกฎที่ไม่สมบูรณ์ได้ดีกว่าคนที่ด้อยปัญญาและคุณธรรมอีกด้วย
แต่ระหว่างคนกับกฎ กฎนั้นจีรังอยู่ยั้งยืนยงกว่าคน แต่ไม่ว่าจะเป็นกฎหรือคนที่ดีที่สุดหรือไม่ก็ตาม คนในรุ่นต่อๆ มาย่อมทันสมัยกว่ากฎ หรือสามารถทำให้กฎที่อยู่มานานทันสมัยและเกิดประโยชน์ได้
เรื่องที่เคยได้ยินกันคือ มีพระ 2 รูป เดินมาถึงฝั่งน้ำ พบสีกาท้องแก่คนหนึ่งยืนอยู่ต้องการที่จะข้ามลำธาร แต่ก็กลัวจะล้มจมน้ำไป เพราะนอกจากครรภ์แก่แล้ว เธอยังว่ายน้ำไม่เป็น พระรูปหนึ่งจึงตัดสินใจอุ้มนางข้ามน้ำไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้โดยปลอดภัย ต่อมา พระอีกรูปหนึ่งจึงถามพระรูปแรกนั้นว่า ท่านอุ้มสีกาได้อย่างไร ผิดวินัยของสงฆ์ พระรูปนั้นตอบกลับด้วยอาการสงบว่า เราได้วางสีกาผู้นั้นตั้งแต่ถึงฝั่งแล้ว ท่านยังไม่วางดอกหรือ?
ผู้มีปัญญาและทรงคุณธรรมจริงๆ ย่อมสามารถใช้กฎในลักษณะนี้ได้ แต่ก็อีกแหละ หากปล่อยให้มีการตีความและยกเว้นกฎ จะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือผู้มีปัญญาและทรงคุณธรรมจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อาจจะมีคนจำนวนมากที่อ้างแบบนั้นในการทำผิดกฎ แต่ครั้นจะให้เคร่งต่อกฎอย่างเถรตรงเกินไป ก็มีปัญหาอยู่ดี
เราอาจจะออกแบบให้สมองกลคิดได้อย่างที่ว่ามาทั้งหมดนี้ แต่กระนั้น มันดูจะมีเพียง 2 แบบให้เลือก นั่นคือ ระหว่างให้สมองกลคิดถกเถียงในแบบไดอะเลคติก (หลักการที่เชื่อว่า การต่อสู้ขัดแย้งของสองสิ่งที่ตรงกันข้ามจะนำมาซึ่งสิ่งใหม่) จนไม่มีจุดจบ กับ การกำหนดจุดหมายปลายทางไว้ให้แน่นอน
แต่ถ้ากำหนดจุดหมายปลางทางไว้ตายตัว มันก็จะลงเอยเป็นกฎที่ตายตัวอยู่ดี!
ตกลงแล้ว เราจะสามารถออกแบบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้คิดได้เหมือนมนุษย์ หรือมนุษย์ควรจะไปลอกเลียนแบบเทคโนโลยี และในที่สุดแล้ว อะไรคือเกณฑ์ที่เหมาะสมที่จะใช้วัดสิ่งที่เรียกว่า Human Progress หรือ The Progress of Humankind? ความก้าวหน้าของมนุษยชาติ ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
🛑LIVE ‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 06 ธันวาคม พ.ศ.2568
การเรียนประวัติศาสตร์ สำคัญต่อเรื่องการเมือง-นโยบายหรือไม่ 'เอ็ดดี้' มีคำตอบ
ไม่มีชาติใดกำหนดอนาคตได้ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาจากไหน ประเทศที่มองอดีตไม่ออก จะถูกครอบงำโดยผู้นำที่อ้างประวัติศาสตร์ผิดๆ
🛑LIVE ร้องข้ามกำแพงคุก!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ร้องข้ามกำแพงคุก!! ห้องข่าวไทยโพสต์ : ประจำวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
🛑LIVE คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ!! ภาพร่วมเฟรม 'เจ้าพ่อสแกม' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ :วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้

