
ใครจัดฉาก!
สะพานข้ามคลองบางซื่อ ชื่อ "สะพานพิบูลสงคราม" ใกล้ๆอาคารรัฐสภา ตกเป็นข่าวฮือฮาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะมีคนเอาป้ายไปแปะ เปลี่ยนชื่อเป็น....
"สะพานท่าราบ"
จับความผ่านโซเชียล ประเด็นนี้ถูกนำมาโยงกับการเมืองปัจจุบัน แบ่งข้างแยกขั้วถือหางแต่ละฝ่าย ด้วยเพราะคิดว่า ฝ่ายตัวเองเท่านั้นที่ถูกต้อง อีกฝ่ายคือภาระของประเทศ
โฟกัสไปที่กลุ่มเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย
กลุ่มนี้ ฟันธงว่า นี่คือความพยายามอีกครั้งในการลบประวัติศาสตร์ของคณะราษฎร
ก่อนอื่นอยากทำความเข้าใจเรื่องราวผ่าน โพสต์ของ "เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค" ที่อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียด
........................................................................
พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม
เป็นคุณตาของ พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี
ดิ่น ท่าราบ เกิดในครอบครัวคหบดีชาวสวน จังหวัดเพชรบุรี เรียนจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ด้วยการสอบได้ที่ ๑ จึงได้ทุนการศึกษาไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกเยอรมัน ร่วมรุ่นเดียวกับ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)
โดยทั้ง ๓ สนิทสนมกันมาก จนได้รับฉายาจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลงกฏ กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ ว่าเป็น "สามทหารเสือ"
พระยาศรีสิทธิสงคราม ได้ศึกษาที่ประเทศเยอรมันนานถึง ๑๐ ปี ก่อนจะเดินทางกลับมายังประเทศไทย มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการอย่างรวดเร็ว โดยได้รับยศเป็น พันเอก ตั้งแต่อายุ ๓๗ ปี และได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยา เมื่ออายุได้ ๔๐ ปี
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น พระยาศรีสิทธิสงครามได้ถูกชักชวนให้เข้าร่วมกับคณะราษฎร์ด้วย แต่พระยาศรีสิทธิสงครามปฏิเสธไม่ขอเข้าร่วม เนื่องจากยึดมั่นในคำถวายสัตย์ แต่ก็ไม่กล้าต่อต้าน
........................................................................
“กบฏบวรเดช”
เวลาได้ยินคำว่ากบฏ เราจะตีความทันทีว่าเป็นฝ่ายไม่ดี
แต่ความจริงคือ ผู้ที่ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารไม่สำเร็จ จะถูกเรียกว่า กบฏ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือเลว
กบฏบวรเดช ถูกเรียกขึ้นตามพระนามของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหารไม่สำเร็จ
กบฏบวรเดช เกิดขึ้นเมื่อ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ นับเป็นการกบฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕
สาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่ จากข้อโต้แย้งในเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจที่นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้เสนอ และถูกมองว่าเป็น ระบอบนิยม” หรือ ที่เรียกว่า"คอมมิวนิสต์"
รวมทั้งต้องการคืนพระราชอำนาจในกับในหลวง
แต่ด้วยเพราะปฏิวัติไม่สำเร็จเลยกลายเป็นกบฏ
ในขณะที่คณะราษฏร์ที่ปฏิวัติสำเร็จโดยยึดอำนาจไปจากในหลวง และในหลวงไม่คิดจะต่อสู้เพราะไม่อยากให้คนไทยรบกันเอง กลับไม่ได้เป็นกบฏ
“ผู้ดีกลายเป็นผู้ร้าย และผู้ร้ายกลายเป็นผู้ดี”
มีให้เห็นในประวัติศาสตร์การเมืองเสมอ
........................................................................
“เหตุการณ์กบฏบวรเดช”
เกิดขึ้นในวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ นำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารนำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสานล้มล้างการปกครองของรัฐบาล
เนื่องจากไม่พอใจที่นายถวัติ ฤทธิเดช ได้ฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
เนื่องจากกรณีที่ที่พระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัยคัดค้านแผนพัฒนาเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ที่เรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง"
โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจของนายปรีดีนี้มีแนวทางการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ที่คล้ายกับการปกครองในระบบสังคมนิยม
ขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรเองก็แตกแยกทางความคิด กระทั่งนำไปสู่การเปิดอภิปรายวิจารณ์ในรัฐสภา
เป็นเหตุให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ต้องถูกกดดันให้ไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสชั่วคราว
เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาฯ และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ทำให้คณะราษฎร์หลายท่านไม่พอใจพระเจ้าอยู่หัวและพระยามโนปกรณ์นิติธาดา โดยเฉพาะฝ่ายทหาร
และนำไปสู่การก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดารัฐประหาร ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ หลังจากการรัฐประหารพระยาพหลพลพยุหเสนาผู้นำคณะรัฐประหารได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีการล้างมลทินให้ หลวงประดิษฐมนูธรรม
ความวุ่นวายทางการเมืองทั้งหลายมีส่วนทำให้พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช บรรดานายพล และ นายทหารอื่นๆ ที่โดนปลดหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่พอใจรัฐบาลเป็นอันมาก จึงเริ่มก่อกบฏขึ้น
โดยนำทหารโคราช ทหารเพชรบุรี ทหารอุบลราชธานี เข้ารบ โดยหวังให้ทหารกรุงเทพที่สนิทกับพันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามไม่ร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาล
แต่ทหารกรุงเทพกลับหันไปร่วมมือกับรัฐบาลเนื่องจากฝ่ายทหารโคราชยืนยันเอาพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นหัวหน้า ซึ่งผิดเงื่อนไขที่ทหารกรุงเทพต้องการ เนื่องจากทหารกรุงเทพนับถือพันเอก พระยาศรีสิทธิสงครามมากกว่า พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช
จนเมื่อทางฝ่ายกบฏเพลี่ยงพล้ำต่อรัฐบาล ในเวลาพลบค่ำของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ปีเดียวกัน พระยาศรีสิทธิสงครามได้เป็นผู้เดินไปเจรจากับทหารฝ่ายรัฐบาล เพื่อขอให้หยุดยิง แต่ปรากฏว่า พระยาศรีสิทธิสงครามได้ถูกยิงเสียชีวิต ที่สถานีรถไฟหินลับ จังหวัดสระบุรี โดยร้อยโท ตุ๊ จารุเสถียร (ประภาส จารุเสถียร)
จากนั้นร่างของพระยาศรีสิทธิสงครามได้ถูกส่งกลับกรุงเทพมหานคร โดยทำการฌาปนกิจอย่างเร่งด่วนที่วัดอภัยทายาราม หรือวัดมะกอก โดยที่ทางครอบครัวไม่ได้รับรู้มาก่อนเลย
และกว่าจะได้อัฐิกลับคืนก็เป็นเวลาล่วงไป ๓-๔ ปีแล้ว อีกทั้งยังถูกคุกคามต่าง ๆ นานา ตลอดสมัยรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
..........................................................................
ดิ่น ท่าราบ หรือ พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม เป็นบิดาของนางอัมโภช ท่าราบ ต่อมาสมรสกับพ.ท.พโยม จุลานนท์ และมีบุตรด้วยกัน ซึ่งคนไทยรู้จักเป็นอย่างดี นั้นคือ พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี
ดิ่น ท่าราบ หรือ พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม คือคุณตาของ พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์
........................................................................
จากประวัติศาสตร์หน้านี้ เราจะเห็นได้ว่า เหตุการณ์กบฏบวรเดช นั้นก่อการเนื่องจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชไม่พอใจคณะราษฏร์
โดยเฉพาะความเหิมเกริมของคณะราษฏร์ที่ปล่อยให้นายถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
แต่เพราะก่อการไม่สำเร็จ จึงถูกตราหน้าว่ากบฏ
และทำให้พ.ท.พโยม จุลานนท์ บิดาของ พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ ถูกตราหน้าว่าเป็นเขยกบฏ
การเมืองสามารถทำให้ “ผู้ดีกลายเป็นผู้ร้าย และผู้ร้ายกลายเป็นผู้ดี”
ประวัติศาสตร์มีโอกาสบิดเบือนได้บ้างในบางเหตุการณ์ ต้องศึกษาและใช้วิจารณญาณ
........................................................................
ขมวดประเด็นครับ...
เป้าหมายของกบฏบวรเดชไม่ใช่เป้าหมายของคนรุ่นปัจจุบัน ฉะนั้นการไปโยงว่ามีความพยายามพาประเทศกลับสู่ระบอบสมบูรณายาสิทธิราชอีกครั้ง เป็นการประเมินผู้ศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผิดเพี้ยนไปอย่างมาก
ประวัติศาสาตร์ไม่มีใครไปเปลี่ยนได้ และไม่อาจไปตัดสินประวัติศาสตร์โดยเอาความรู้สึกในปัจจุบันเป็นตัวกำหนดได้
ที่จริงเรื่องนี้ แค่อยากพูดถึงทัศนคติของกลุ่มคนที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์รัฐบาลประยุทธ์ว่าไม่อยู่กับร่องกับรอย
ในเรื่องเดียวกันคนกลุ่มนี้จะเปลี่ยนความคิดทันทีหากเรื่องนั้่นไม่ตรงกับที่ใจตัวเองต้องการ
ยกตัวอย่างกรณี จอมพลป. แม้จะเป็นสมาชิกคณะราษฎรก็จริง แต่ก่อนหน้า จะมีการเปลี่ยนชื่อ "สะพานพิบูลสงคราม" เป็น "สะพานท่าราบ" จอมพลป.ในสายตา นักวิชาการล้มเจ้า มวลชนสามนิ้ว คือจอมเผด็จการทหาร ยืนคนละฝั่งกับ "ปรีดี พนมยงค์" ที่คนกลุ่มนี้เคารพรัก
บ่อยครั้งป.ประยุทธ์ ถูกนำไปเทียบกับ ป.แปลก ว่ามีความเป็นเผด็จการพอกัน
มาวันนี้กลับปกป้อง จอมพลป. แล้วหันไปโจมตีผู้มีความเห็นต่างว่าต้องการลบประวิตศาสตร์ ด้วยการเปลี่ยนชื่อสะพาน ทั้งๆที่ยังไม่รู้ฝีมือใคร
แต่พฤติการณ์ต้องการสร้างสถานการณ์มากกว่าจะเปลี่ยนป้ายชื่อจริง
ใครที่ได้ประโยชน์เอาไปปั่นกันในโซเชียลตอนนี้ก็นับหัวได้
พวกล้มเจ้าทั้งนั้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เรามีดำ ไม่มีเทา'
นับคำขอโทษได้สักล้านคำกระมัง วานนี้ (๒๙ ธันวาคม) เป็นอีกวันของการพิสูจน์ว่า พรรคส้ม ใช่พรรคที่ความดีไม่มีความชั่วไม่ปรากฏจริงหรือไม่
ทหารไทยระดับโลก
ได้เบอร์พรรคกันไปเรียบร้อยแล้วครับ วานนี้ (๒๘ ธันวาคม) กกต.รับสมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อ จับได้เลขอะไร แต่ละพรรคทั้งประเทศเบอร์เดียวกันหมด
ผลงานรัฐบาล-กองทัพ
น่าจะจบอีกยกครับ... นับว่าเป็นข่าวดีต้อนรับปีใหม่ วานนี้ (๒๖ ธันวาคม) มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) เป็นวันที่ ๓ ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
ไม่เอาคนเนรคุณ
แยกข้างแบ่งขั้วกันตั้งแต่หัววัน... วานนี้ (๒๕ ธันวาคม) นายกฯ อนุทิน ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีนโยบายแก้ ม.๑๑๒ “...ถ้ายังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ พรรคภูมิใจไทยไม่ร่วมด้วยแน่นอน พรรคไหนจะร่วมก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรค แต่เท่าที่ดูแคนดิเดตของทุกพรรค ไม่มีพรรคไหนตอบว่าจะแก้ไขมาตรา ๑๑๒ ยกเว้นพรรคประชาชน...”
ใครแข็งในจุดขาย
ยังไม่ทันเลือกตั้ง ก็เห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่รำไรแล้วครับ ปัจจัยหลักคือการประกาศจุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรค เงื่อนไข ไม่ใช่เรื่อง เทาหรือไม่เทา
'ศุภจี' ไปต่อ
จบแล้วครับ ไม่ต้องรอ... คนละครึ่งพลัสเฟส ๒ ไม่ได้ไปต่อ ถ้าจะมีคงต้องรอรัฐบาลหน้า ไม่ใช่รัฐบาลเพื่อไทย

