
"การเมือง" น่ะ.....
ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมือง-เรื่องของนักเลือกตั้งอย่างที่บางคนเข้าใจ
หากแต่ "การเมือง" คือ.......
"บ้านทรายทอง" หลังหนึ่ง
เป็นมรดกตกทอดจากเจ้าคุณทวด-เจ้าคุณปู่ ผู้เป็น "ต้นตระกูลไทย" เป็นบรรพบุรุษผู้สืบและส่งต่อกันมาจาก "รุ่น-สู่รุ่น"
จากกรุงสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ปัจจุบัน
ก็ "ร่วมพันปี" แล้ว!
เจริญวัฒนาสถาพรในร่องรอยอารยะมาเรื่อยๆ บางครั้งก็รุ่งเรือง บ้างครั้งก็ร่วงโรย หมุนเวียนกันไป
แต่สรุปรวม บ้านหลังนี้ "มั่นคง-แข็งแรง-แน่นหนา" โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์-เอกราช จนเพื่อนๆ ในอุษาคเนย์ ทั้งชื่นชมและทั้งอิจฉาบ้านทรายทองของเรา
"บ้านทรายทอง" อันอบอุ่นหลังนี้ เรามีสมาชิกสายเลือดตระกูลไทย อยู่ร่วมกัน ณ ปัจจุบัน ก็ใกล้ ๗๐ ล้านคนแล้ว!
ที่ผมนิยามให้เห็นเช่นนี้.........
ก็ด้วยอยากบอกว่า "การเมือง" คือเรื่อง "บ้านทรายทอง" อันเป็นของเราทุกคน
เราทุกคน มีสิทธิ์-มีส่วนในความเป็นเจ้าของ ฉะนั้น อย่านิ่งดูดายให้โจรเหิม
ต้องช่วยกันดูแลรักษา สืบสานเจตนารมณ์บรรพบุรุษ ให้ดำรงคงอยู่ เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานเราทุกคน ในสภาพที่ มั่นคง-แข็งแรง และเจริญรุ่งเรือง
มิใช่ส่งต่อ "บ้านทรายทอง" ที่รุ่นเรา "รุมทึ้ง-กัดแทะ" แย่งชิงกัน จนเหลือสภาพ "ซาก"
หรือสภาพ "บ้านขายฝาก" ให้ต่างชาติ-ต่างภาษาเข้ามาเป็นเจ้าเข้าครอง!
ทุกวันนี้ สมาชิกบ้านทรายทอง แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ
-ส่วนหนึ่ง พวกเอาบ้าน-เอาเมือง
-อีกส่วน พวกโกงบ้าน-กินเมือง
-ส่วนที่สาม พวก "ธุระไม่ใช่" เอาสบาย-เอาประโยชน์เฉพาะตัว แถมเอาตีนราน้ำอีกตะหาก
และผมสังเกตว่า ในส่วนแรกจะมีมาก "ไม่เท่า" ส่วนที่สองและที่สาม
พวกโกงบ้าน-กินเมือง, พวกธุระไม่ใช่นี่ พร้อมลื่นไหลในทาง "สมประโยชน์" เป็น "กลุ่มใหญ่" ในบ้านทรายทอง
ส่วนพวกแรก คือพวก "เอาบ้าน-เอาเมือง" จะเป็น "กลุ่มน้อย" ในบ้านทรายทองที่อยู่ร่วมกัน
ไม่ใช่ในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้นนะ.....
ถ้าเราศึกษาประวัติความเป็นมาของบ้านทรายทองตระกูลไทย คนในบ้าน จะประกอบด้วยคน ๓ ลักษณะนี้มาตลอด
และก็แปลก.........
พวกโกงบ้าน-กินเมือง และพวก "ธุระไม่ใช่" คอยฉกฉวยประโยชน์เฉพาะตนด้านเดียว มักจะเฟื่องฟู เปรื่องยศ เปรื่องอำนาจบารมี
ส่วนพวก "เอาบ้าน-เอาเมือง" จะเหมือน "นนทก"!
"แบกประเทศ" อย่างเดียว ไม่ได้กินดี-อยู่ดีกับเขา แถมยังต้องตามล้าง-ตามเช็ดให้พวกเขาอีกด้วย
โบราณไทยถึงมีคำว่า "ด้านได้-อายอด"
ด้านได้-หมายถึง ด้านต่อศีล-ต่อธรรม ต่อความถูกต้องและต่อกฎหมายบ้านเมือง เมื่อด้าน จึงได้
ส่วนพวกอาย คืออายต่อบาป อายต่อการทุจริต-คิดไม่ซื่อ และถือสัตย์ ถือธรรม ถือกฎหมาย พวกนี้ มัวแต่อาย จึงอด!
ภาษิตนี้ ไม่ใช่สนับสนุนให้คนด้าน เพื่อได้
หากแต่ท่านสะท้อน "สภาพสังคมคน" ยุคนั้น-สมัยนั้น ให้เห็น และมันก็เป็นแบบนี้ทุกยุค-ทุกสมัย จนกลายเป็น "บุคลิกไทย" ไปแล้ว
ก็จะมีคำถามว่า คนไทย "บ้านทรายทอง" มีแต่คนกิน-คนโกง กับคนฉกฉวยเฉพาะตัวเป็นส่วนมาก
แล้วไทยดำรงคงไทยอยู่ได้อย่างไร?
โบราณท่านมีคำตอบด้วยภาษิตว่า "ซื่อกินไม่หมด-คดกินไม่นาน" นั่นยังไงเล่า!
นั่นคือ สุดท้ายแล้ว พวกหน้าด้าน อันธพาลโกงบ้าน-กินเมือง ด้วย "ความคด"
มันก็ฟู่ฟ่า ด้วยเงินทอง ด้วยอำนาจ-วาสนาอยู่พักเดียว เหมือนไฟที่ปลายไต้-ปลายเทียน ลุกไป-สว่างไป ก็กินตัวเองไป
สุดท้าย ทั้งไต้-ทั้งเทียน ก็หมด-มอดไหม้ ไม่มีเหลือ
คนคด ก็เช่นนั้น มันต้องหมด มันต้องวิบัติฉิบหาย ด้วยคดในตัวมันเอง!
ส่วนคนซื่อ คือคนเอาบ้าน-เอาเมือง สุจริตต่อชาติบ้านเมือง เคารพกฎ-กติกาบ้านเมือง จะเหมือน "แผงโซลาร์เซลล์"
ตราบใดที่โลกยังมีดวงอาทิตย์....
ตราบนั้น คนซื่อสัตย์-สุจริต ก็จะได้รับพลังสุริยา "สะสมพลังงาน" ไว้ไม่มีวันหมด
ต่อให้ "บ้านทรายทอง" มืดมิด.......
ก็สว่างได้ด้วยไฟแห่งพลังสัตย์ซื่อ ที่ไม่หันหลังให้ส่วนรวม ไม่ยอมให้พวกหยาบช้า พวกหนังหนา-หน้าด้าน ทำทุราจารกับบ้าน-กับเมืองได้
แล้วในเมื่อคน "เอาบ้าน-เอาเมือง" มีส่วนน้อย มันจะไปชนะโจรกินบ้าน-กินเมืองที่มีเป็นส่วนมากได้หรือ?
ได้ซี...ได้แน่นอน "ล้านเปอร์เซ็นต์"
เพราะยังมีภาษิตสะท้อน "ประวัติศาสตร์" มนุษยชาติพันธุ์ไทยไว้อีกบทว่า
"ธรรมะย่อมชนะอธรรม"!
เห็นมั้ย ตรงกับหลักธรรมชาติที่ว่า "ปริมาณไม่ใช่ตัวบ่งบอกคุณภาพ"
ไม่งั้น "แกลบ" ก็ต้องมีราคาแพงกว่า "ข้าวสาร" ไปนานแล้ว จริงมั้ย?
"น้อย" แต่ "มาก" คุณภาพ
หนักแน่นในภาระลูกหลาน "บ้านทรายทอง" นี่แหละ สุดท้าย ก็เอา "ชาติรอด" มาได้ทุกยุค-ทุกสมัย
เราเรียนประวัติศาสตร์ชาติมา.........
เคยมีบันทึกไว้ซักบรรทัดมั้ยว่า ทุกครั้้งที่รบกับพม่า ไทยมีกำลังทัพมากกว่าเขา หรือเท่าพม่า?
น้อยกว่าเขาระดับ ๑:๓ มาตลอด แต่ไทยไม่เคยแพ้ เพราะเลือดไทยที่เอาบ้าน-เอาเมืองนี่แหละ
ที่แพ้ในสภาพ "กรุงแตก" ทั้ง ๒ ครั้งนั้น ไปศึกษาให้ดี
แพ้เพราะ "พม่ามากกว่า"
หรือแพ้เพราะ "คนขายชาติ" กับพวก "ธุระไม่ใช่" ที่จ้องจังหวะ "ฝ่ายไหนชนะ เข้าด้วยช่วยขายชาติ เป็นไส้ศึก?"
ด้วย "ธรรมะย่อมชนะอธรรม" นี้แหละ คือบทสรุปของคำตอบสุดท้าย ใครอยู่-ใครไป?
ต่อให้เกณฑ์กันมา ๘ สำนักจานมหา'ลัย ๘ สำนักสื่อใหญ่ ทำโพล นายกฯ ประยุทธ์ตายแน่
แต่ขอให้ดู "สงครามครั้งสุดท้าย" ของพม่า "พระเจ้าปดุง" ยกทัพมาถึง ๙ ทัพ ด้วยรี้พลสกลไกรมากถึง ๑๔๔,๐๐๐ นาย
แยกเป็น ๕ ทิศ ๕ ทาง มุ่งเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ เ
วิกิพีเดีย บันทึกว่า.......
ทัพที่ ๑ ได้ยกมาตีหัวเมืองประเทศราชทางปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ทัพที่ ๒ ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรี เพื่อที่จะรวบรวมกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์
ทัพที่ ๓ และ ๔ เข้ามาทางด่านแม่ละเมา แม่สอด
ทัพที่ ๕-๗ เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ ตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง
ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ ๓-๔ ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์
ทัพที่ ๘-๙ เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง ๕๐,๐๐๐ นาย
ยกเข้ามาทาง "ด่านพระเจดีย์สามองค์" เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือและใต้ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ารบกับกรุงเทพฯ
เห็นมั้ย อริราชศัตรูที่จะมาปล้นบ้าน-ชิงเมือง มีกำลังมากเป็นแสน
แล้วไทยเราล่ะ มีกำลังพลเท่าไหร่?
"พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" ทรงรวบรวมกำลังไพล่พลได้เพียง ๗๐,๐๐๐ นาย
น้อยกว่าทัพพระเจ้าพม่าถึง ๒ เท่า!
โชคดี ในจำนวนน้อยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นทหารที่กล้าแข็งและมั่นคงในชาติบ้านเมืองของ "พระเจ้ากรุงธนบุรี" แต่เดิม
คือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช".....
ที่ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาคืนกลับมาจากพม่า ในปี พ.ศ.๒๓๑๐ นั่นแหละ!
"พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" กับพระอนุชา "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท"
ทรงใช้ทหาร ๗ หมื่น เข้ารับมือ ทหาร แสนสี่หมื่น ของพม่า
ปรากฏว่า แสนสี่หมื่น แพ้ราบคาบให้กับ เจ็ดหมื่น!
และเรายังได้ "วีรบุรุษ-วีรสตรี" ให้ลูกหลานบ้านทรายทองได้รับรู้และดูจำไว้เป็นแบบอย่าง "สู้เพื่อรักษาชาติ"
เช่น ท้าวเทพกระษัตรี และท้าวศรีสุนทร ที่เมืองถลาง และ "พระมหาช่วย" ที่พัทลุง เป็นต้น!
นี่ผมเฉื่อยแฉะ นึกอะไรได้ ก็คุยเรื่อยไปตามเรื่อง-ตามราว และอยากบอกแฟนๆ การ์ตูนไทยโพสต์ว่า
เรื่อง "วีรสตรีโลก" ย่าโม "ท้าวสุรนารี" จบไปแล้ว
ต่อด้วย "การ์ตูนประวัติศาสตร์ "สุโขทัย" เมืองมรดกโลก" ของกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้
ประวัติศาสตร์คือ "รากเหง้า" คุณหนู คุณพี่ คุณน้อง รู้กันไว้บ้าง ไม่งั้น "บ้านทรายทอง" อาจถูกนำขายทอดตลาด แล้วบรรพบุรุษท่านจะร้อง
"ไอ้ลูกหลานจัญไร" ทั้งในสภาและในถนน!
คนปลายซอย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
๕ ธันวา ‘ฟ้าอวยชัย’
๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”
ประณีต 'ข้าวแบรนด์โลก'
เมื่อ ๘๐-๙๐ ปี ที่แล้ว.... ในหนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ครูให้ท่อง “สินค้าส่งออกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตาของไทย" ไม่ใช่ “ดินสอพอง” หรือ “แป้งผัดหน้า”
เงิน ‘ประชามติ’ แจกน้ำท่วม
มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก” ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯ อนุทิน”
“มิตรในยามยาก”
“หาดใหญ่”...มันใหญ่ที่ไหน รู้มั้ย? มันใหญ่ที่ “ใจ” นั่นไง! มหาอุทกภัยครั้งนี้ ก็เข้าใจ ว่ามันรากเลือดหนักหนา-สาหัส แต่ทำไงได้
‘ดี-ร้าย’ อยู่ที่ ‘มุมมอง’
แล้วก็มาถึง “เดือนสุดท้ายของปี ๒๕๖๘ จนได้! นึกย้อนไปเมื่อ ๒๑ ปีที่แล้ว ๒๖ ธันวา.๔๗ “สึนามิ” ถล่ม ๖ จังหวัดใต้ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต ร่วม ๖,๐๐๐ คน เจ็บประมาณ ๘,๐๐๐ คน และสูญหายจำนวนมาก
🛑LIVE อุทกภัยโซเชียล!! | จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์
อุทกภัยโซเชียล!! จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์ : วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568


